วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เมื่อสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตติดจรวด 2.3GHz / CPU 8-Core / GPU 72-Core




อีกเรื่องที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2013 ในด้านของฮาร์ดแวร์นั้นกลับไม่ใช่ Intel Haswell CPU 4thGeneration ของ Intel แต่อย่างใด แต่กลับเป็น CPU ARM บนอุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่นับวันจะยิ่งเหมือนคอมพิวเตอร์เข้าไปทุกที ล่าสุดในงาน CES 2013 นั้นผู้ผลิตชิพ ARM ทั้ง 3 ค่ายใหญ่อย่าง NIVDIA, Qualcommและ Samsung ต่างก็งัดไม้เด็ดของชิพรุ่นใหม่ที่จะวางจำหน่ายในปี 2013 มาอวดโฉมแบ่งประสิทธิภาพกันใหญ่

ผังการออกแบบของ NVIDIA Tegra 4 ที่มา : www.fonearena.com

เริ่มที่ NVIDIA ที่โวก่อนเปิดงาน CES 2013 เลยว่าชิพตัวใหม่ในนาม Tegra 4 นั้นแรงที่สุดในโลก แซงหน้า A6X ของ iPad 4th Generation ไปแบบขาดลอยด้วยแกนประมวลผลแบบ 4+1 Quad-core ประหยัดพลังงานสุดๆ แถมพก GPU มา 72-Core เลย รองรับการแสดงผลได้ในระดับ Ultra HD อีกด้วย พอวันต่อมา Qualcomm ก็ไม่ขอน้อยหน้าด้วยการเปิดตัว 4 พี่น้องตระกูล Snapdragon รุ่นใหม่ ได้แก่ Snapdragon 800 / 600 / 400 และ 200 โดยไม้เด็ดอยู่ที่พี่ใหญ่ Snapdragon 800 ที่พกแกนประมวลผลมา 4+1 Quad-core เช่นกัน แต่เร่งความเร็วออกมาถึง 2.3GHz!!! รองรับ Ultra HD ได้เหมือน Tegra 4 อีกด้วย

Qualcomm Snapdragon Series ที่มา : www.techindustriya.com

ส่วนวันที่ 3 ทาง Samsung ก็ขอเล่นของกับเขาบ้างด้วย Exynos 5 Octa ที่ไม่ได้เน้นความเร็ว แต่พี่ขอทำได้หลายอย่างพร้อมกันด้วยแกนประมวลผลที่ติดมาถึง 8-Core สร้างความฮือฮาในวงการได้ไม่น้อย แถมยังเป็นการประกาศศักดิ์ดาว่า CPU ARM พร้อมเข้ามาแทนที่คอมพิวเตอร์แล้ว และเตือนว่ายุค Post-PC นั้นเป็นไปได้มากกว่ายุค PC-Plusในขณะที่ CPU ฝั่งคอมพิวเตอร์ X86 ยังไม่สามารถรุกล้ำอธิปไตยของ ARM บนสมาร์ทโฟนได้จนกระทั่งการเปิดตัว Lenovo IdeaPhone สมาร์ทโฟนตัวแรกที่ยัด Intel Atom CPU X86 ลงไปได้เป็นรุ่นแรก จึงน่าจับตามองเป็นอย่างมากกว่าทั้ง Tegra 4, Snapdragon 800และ Exynos 5 จะมีประสิทธิภาพมากขนาดไหน และอุปกรณ์ตัวได้จะได้ใช้กันเป็นรายแรก

Samsung Exynos 5

ยกทุกอย่างไว้บนอากาศ ให้ก้อนเมฆเป็นคลังข้อมูลของคุณกับระบบ Cloud



เมื่อช่วงกลางปี 2012 ผมได้เขียนเรื่องของ Cloud Computing หรือระบบการประมวลผลและเก็บข้อมูลผ่านเซิฟเวอร์ไร้ตัวตน (สำหรับเรา) กันไปแล้ว อันเป็นนิยามใหม่ของการใช้งานคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน แต่ทว่าความแพร่หลายนั้นก็ยังมีไม่มากนัก แต่ Cloud ก็ยิ่งน่าจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 2013 นี้

ทำไม Cloud ที่มีมานานจึงน่าจับตามองในปีนี้หรือครับ? นั่นก็เพราะว่าที่ผ่านมาในชีวิตจริงคุณได้ใช้ Cloud กันสักเท่าไหร่นอกจากการเก็บข้อมูลนิดๆ หน่อยๆ แต่ในปี 2013 Cloud จะมีบทบาทกับคุณมากขึ้นโดยเฉพาะกับคนที่ใช้ Windows 8, Windows Phone 8 นั่นก็เพราะ Microsoft บังคับให้ SkyDriveฝั่งอยู่ในเครื่องของคุณเลย นอกจากนี้โปรแกรมต่างๆ ก็รองรับการทำงานผ่าน Cloud มากขึ้นอย่าง Office 2013 และ Office 365 ที่เปลี่ยนการบันทึกข้อมูลเข้าระบบ Cloud เป็นหลัก หรือจะเป็นโปรแกรมบนหน้าเบราเซอร์ใหม่อย่าง Office Web App นั่นก็ประมวลผลผ่าน Cloud กลายเป็นว่า Cloud ยิ่งจะซึมซาบเข้าสู่พฤติกรรมการใช้งานของเรามากขึ้น จนถึงจุดที่เรารู้สึกได้ในปี 2013 นี้แล้ว

SkyDrive ที่เข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ ทุกระบบปฏิบัติการ

นอกจากการเก็บข้อมูล Cloud ก็เริ่มมีบทบาทในวงการเกมมากขึ้น ระบบเกมสตรีมมิ่งหรือการเล่นเกมโดยให้เซิฟเวอร์ที่ไหนไม่รู้ประมวลผลให้แล้วส่งภาพมาให้เราเป็นฉากๆ แทนก็เริ่มเข้ามาในชีวิตเราในอีกเร็วๆ นี้ ซึ่ง Microsoft กลายเป็นหัวหอกหลักที่จะให้บริการผ่าน Xbox Live เป็นต้น ความน่าสนใจของ Cloud จึงกำลังถูกจับตามองมากที่สุดในปีนี้นี่เอง

นอกจากทั้ง 6 เทคโนโลยีนี้แล้ว ยังมีอะไรอีกมากที่เราต้องติดตามชมกันต่อไปในปีนี้ และผมเชื่อว่ายังมีนวัตกรรมใหม่ๆ อีกมากที่ยังคงเป็นความลับและรอการเปิดเผยอยู่ แต่สิ่งที่เราควรจะตระหนักไว้ก็คือการวิ่งไล่ตามเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดหย่อนนั้นอาจจะกลายเป็นภัยต่อตนเอง เพราะการจะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ปัจจัยเดียวที่พวกเขาต้องการคือเงินจากกระเป๋าของคุณ ฉะนั้นติดตามเทคโนโลยีไว้อย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ต้องไปวิ่งไล่จับมันนะครับ พอใจในสิ่งที่เรามีดีที่สุด (อันนี้แหละทำยากที่สุดล่ะ กิเลสมักเหนือกว่าเสมอเวลาเจอของใหม่ๆ เจ๋งๆ 555)

โดย Techaholic

มาตรฐานความละเอียดใหม่ที่คมชัดกว่าเดิมด้วย 4K Ultra HD


ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เวลาเราจะซื้อหน้าจอแสดงผลสักตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือมอนิเตอร์นั้น สิ่งแรกๆ ที่เรามองหากันนั่นก็คือมีสัญลักษณ์ Full HD หรือไม่ กับความละเอียดที่เป็นมาตรฐานสูงสุดในตอนนั้นด้วยสัดส่วน 1,920 X 1,080p ที่จะแสดงภาพได้คมชัดทุกรายละเอียด แต่ในปี 2013 Full HD กำลังจะสละบัลลังก์มาตรฐานสูงสุดให้กับความละเอียดใหม่ในนาม Ultra HD หรือที่รู้จักกันสั้นๆ ว่า 4K กันแล้ว

ขนาดความละเอียดของ Ultra HD เมื่อเทียบกับความละเอียดมาตรฐานอื่นๆ ที่มา : wikipedia.org

Ultra HD (ขอเรียกชื่อนี้จะได้ติดปากกันนะครับ เพราะ 4K เป็นชื่อไม่เป็นทางการ) เป็นความละเอียดของจอแดงผลมาตรฐานใหม่ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 3,840 X 2,160 (8.3 ล้านพิกเซล) หรือจะกะง่ายๆ ก็คือการนำเอาหน้าจอ Full HD มาเรียงประกอบกัน 4 จอก็จะได้ความละเอียด Ultra HD ซึ่งเริ่มมีการผลิตเป็นโทรทัศน์ออกมาในช่วงปลายปี 2012 จากค่าย LG และ Sony ที่จำหน่ายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เพียงจะมาเปิดตัวเป็นจริงเป็นจังครบทุกค่ายในปี 2013 จากงาน CES 2013 นี้เอง โดยการขยายความละเอียดออกไปในครั้งนี้ทำให้สามารถสร้างหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นระดับ 84 นิ้ว ถึง 110 นิ้วโดยที่ยังคงความละเอียดคมชัดสมจริง เพราะถ้าหากหน้าจอขนาดใหญ่แต่ยังใช้ Full HD อยู่จะมีผลทำให้ภาพคมชัดน้อยลงจากเม็ดพิกเซลแต่ใหญ่ขึ้นเพื่อรับหน้าจอนั่นเอง

Samsung Smart TV S9000 ขนาด 84 นิ้วความละเอียด Ultra HD ที่มา : www.itworld.co.kr

ด้วยมาตรฐานนี้ กล้องวิดีโอสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ความละเอียด Ultra HD จึงเปิดตัวออกมาอย่างรวดเร็วตามกัน รวมทั้งสถานีโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ KBS ก็เริ่มทดสอบการออกอากาศด้วยความละเอียด Ultra HD แล้ว (เมืองไทยยังอนาล็อกบ้านๆ อยู่เลยให้ตายสิ!) ใครฝันว่าจะได้เห็นสิวเสี้ยวของสาวๆ วง SNSD ก็คงจะได้เห็นกันในทีวีช่องนี้ล่ะครับ แต่ด้วยความเป็นเทคโนโลยีใหม่ และต้นทุนการผลิตสูง ทำให้ทีวีขนาด Ultra HD นั้นมีราคาเกินแสนทุกรุ่น!(เปิดตัวออกมาเป็นหน้าจอ 84 นิ้ว ส่วนหน้าจอ 55 นิ้วลงไปยังไม่มีการกล่าวถึงราคามากนัก) อาจจะต้องใช้เวลาอีกพัก 2-3 ปีกว่า Ultra HD จะเข้ามาแทน Full HD ได้อย่างสมบูรณ์

LG 3D Smart TV 84LM9600ขนาด 84 นิ้วที่วางจำหน่ายไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว 

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิธีใช้งานฟีเจอร์ Do Not Disturb บน iOS 6




วันนี้ข่าวไอที เทคโนโลยี จะขอนำความรู้มาให้หลายๆคนที่ยังคงสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า Do Not Disturb คืออะไรและใช้ทำอะไรได้บ้างเรามีคำตอบมาให้

Do Not Disturb คือ โหมดห้ามรบกวน ตั้งเพื่อไม่ให้ iPhone เตือนตลอดเวลา, บล็อคสายที่ไม่ต้องการให้โทรเข้า, เลือกช่วงเวลาได้ว่าจะเปิดโหมดนี้เมื่อไหร่

หลักการทำงานของ DO NOT DISTURB

  • ปิดการแจ้งเตือนของ Notification ต่างๆ ไม่ให้แสดงออกมาที่หน้าจอ
  • กรองเบอร์โทรได้ว่าใครสามารถโทรหาได้
  • โหมดจะเริ่มทำงานหลังจากการเปิดใช้และต้องล็อคหน้าจอแล้วเท่านั้นถึงจะเห็นผล

การเปิดใช้งาน DO NOT DISTURB 

เปิดใช้งานไปที่ Settings > Do Not Disturb. เลือกเป็น ON จากนั้นจะเห็นไอคอนรูปพระจันทร์อยู่ใกล้ๆ กับนาฬิกา

การตั้งค่าของ DO NOT DISTURB

ตั้งค่าเพิ่มเติมที่ Settings> Notifications> Do Not Disturb
ส่วนนี้เราสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้โหมดนี้ทำงานอัตโนมัติหรือไม่ เช่น ตั้งให้เปิดโหมดนี้ทุกวันตั้งแต่เวลา 23.00 – 7.00 น. ผลที่ได้คือ ตั้งแต่ 5 ทุ่มเป็นต้นไปหากใครโทรหาก็จะไม่ติดมันจะตัดสายให้ทันที (เว้นแต่โทรติดต่อกัน 3 ครั้งใน 3 นาที อันนี้ตั้งค่าที่ Repeated Call)
  • Scheduled คือ การตั้งเวลาว่าจะให้เปิดโหมดนี้เองแบบออโต้โดยเลือกช่วงเวลาที่ต้องการเปิดได้
  • Allow Calls From คือ การตั้งค่าให้เบอร์ไหนสามารถโทรหาได้แม้ว่าเราเปิดโหมดนี้ พอกดเข้าไปจะเจอ
    • Everyone โทรได้ทุกคน
    • No One โทรไม่ได้ทุกคน
    • Favorites โทรได้เฉพาะรายชื่อที่เราตั้งไว้ในโหมดเบอร์สนิท
    • ทั้งนี้สามารถเลือกตาม Groups ได้ (การสร้าง Group ใน Contacts ของ iPhone)
  • Repeated Calls เปิดเพื่อหากมีใครโทรหาเราเกิน  2 ครั้งใน 3 นาทีมันจะโทรติดได้ เข้าใจว่าเผื่อกรณีที่จำเป็นจริงๆ ถ้าต้องการติดต่อ
หายสงสัยกันเเล้วใช่ไหมและเมื่อทราบแล้วล่ะก็อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะจ๊ะจะได้ทันต่อเทคโนโลยี

เทคนิคการใช้งานง่ายๆบน iOS 6


เมื่อได้มีการเปิดตัวมาได้ระยะหนึ่งแล้วกับ iOS 6 ซึ่งเป็นระบบการใช้งานได้บน new iPad, iPad 2, iPhone 4S, iPhone 4, iPhone 3GS และ  iPod touch Gen 4 วันข่าวไอที เทคโนโลยีมาพร้อมฟีเจอร์ที่น่าสนใจกว่า 200 คุณสมบัติ ลองไปดูทิปที่น่าสนใจกัน ตัวอย่างเช่น



 


แชร์ได้ในพริบตาผ่าน Notification Center



โดยปกติใครที่ใช้ iOS 5 มาก่อน หลายคนอาจจะเปิด Notification Center เข้ามาดูบ้าง แต่สำหรับบน iOS 6 นี้นั้นเราสามารถแชร์ข้อความรวมถึงสถานะบน twitter และ facebook ผ่าน Notification Center ได้เลย โดยลากแถบ Notification Center ลงมา จะพบปุ่ม “Tap to Tweet” และ “Tap to Post” จากนั้นเราสามารถโพสข้อความลงบน Twitter และ Facebook ได้โดยไม่ต้องเปิดแอพนั้นๆเลยง่ายและประหยัดเวลาอีกด้ว

คุณสมบัติการโทร กดตัดสาย รับสาย ส่งข้อความได้ทันที

iOS ในรุ่นก่อนๆ คุณจะต้องกดปุ่ม power ซ้ำกัน 2 ครั้งเพื่อตัดสายที่ไม่อยากรับ หรืออยู่ในระหว่างการประชุม บน iOS 6 หากมีคนโทรเข้ามา ก็จะแสดงปุ่มที่เกี่ยวข้องกับการโทร หากไม่ต้องการรับสาย จะมีตัวเลือก Reply with Message โดยจะมีข้อความสำเร็จรูปให้เราส่งหาผู้โทร และ Remind Me Later เผื่อเราประชุมเสร็จแล้วลืมโทรกลับ ได้ด้วยสะดวกมากเลย


แชร์สะดวกจาก Safari



หากเรากดปุ่ม Share ใน Safari จะพบกับตัวเลือกในการแชร์แบบใหม่ ที่ให้แชร์ผ่านอีเมล์, iMessage SMS, Twitter หรือ Facebook ได้เลย

 แชร์ภาพผ่าน PhotoStream

 

ถ่ายภาพแล้วแชร์ภาพผ่าน Photo Streams ได้จากแอพ Photos ได้ด้วยโดยกด Edit เลือกภาพที่ต้องการแชร์ กดปุ่ม Share แล้วเลือก Photo Stream กรอกอีเมล์ที่ต้องการแชร์ ตั้งชื่อ Photo Stream โดยเราสามารถกำหนดได้ว่า จะให้ผู้รับชมภาพเราได้จากลิงก์โดยตรง หรือคนที่ไม่ได้ใช้บริการ iClound สามารถคลิกชมภาพเบราวเซอร์บน iCloud.com ได้เช่นกัน


โหมดถ่ายภาพแบบ Panorama



สำหรับเครื่องที่รองรับ iOS 6 คุณสามารถถ่ายภาพแบบ Panorama ได้ ในคุณสมบัตินี้รองรับการใช้งานบน iPhone 4S, iPhone 5 และ iPod touch Gen 5th ปกติแล้วการถ่ายภาพแบบพาโนรามา ต้องพึ่งแอพอย่าง 360 Panorama สำหรับการถ่ายภาพแบบนี้เพียงแค่เข้าแอพ Camera เลือก Options > Panorama จากนั้นกดถ่ายภาพ และเลื่อนไปทางขวาเพื่อถ่ายภาพต่อไป เมื่อเสร็จแล้วให้กดปุ่มชัตเตอร์อีกครั้ง

ยังมีเทคนิคและเทคโนโลยีการใช้งานบน iOS 6 อีกมากมายและน่าสนใจสามารถติดตามและนำไปใช้ได้ด้วยอย่าลืมลองไปเล่นกันดูนะจ๊ะถ้าไม่ทันสมัยอย่าหาว่าเราไม่เตือนนะ^^

คำทำนายพ่อมดเทคโนโลยี Steve Jobs ในปี 1983 ที่หายไป



คำนายของพ่อมดเทคโนโลยี Steve Jobs ในปี 1983 ที่หายไป international update hot update


นวันนี้ 5 ตุลาคมถือเป็นวันครบรอบ 1 ปีที่โลกได้สูญเสียพ่อมดเทคโนโลยีที่ชื่อ Steve Jobs ไปตลอดกาลและวันนี้ก็ได้มีการเปิดเผยถึงสุนทรพจน์ที่หายไปบางส่วนของ Jobs ซึ่งได้ขึ้นพูดในงาน International Design Conference in Aspen ในปี 1983 โดยได้พูดถึงเทคโนโลยีวันนี้เมื่อ 30 ปีก่อน
ในงานดังกล่าวนี้เอง Steve Jobs ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่ ที่มีขนาดเพียงเเค่หนังสือเล่มหนึ่งที่ทุกคนสามารถถือและพกพาได้และสามารถเรียน รู้การใช้งานได้เวลาเพียง 20 นาที และสามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณโทรศัพท์ไร้สายสำหรับการติดต่อสื่อสาร
Steve Jobs ยังได้บอกอีกว่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาในวันนี้ พวกเขาจะเติบโตอยู่ในยุคแห่งคอมพิวเตอร์และตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาจะเต็มไป ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มากมาย และผู้คนในยุคสมัยใหม่จะใช้เวลากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากกว่ารถยนต์ โดยพวกเขาสามารถรับส่งอีเมลล์ได้ไม่ว่าจะกำลังเดินหรืออยู่ที่ใด ในตอนนั้น Jobs ได้บอกว่าบริษัทของเขากำลังจะใช้งานในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในสำนักงานเข้าด้วยกัน และห่างออกไปอีก 10 ปีสำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตเข้ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไปแล้วถือว่าใกล้เคียงมาก เพราะ ในช่วงปี 1993 นั้นเริ่มมีการเปิดรับ การใช้งานอินเตอร์เนตเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และยังไม่หมดเพียงเเค่นี้ Jobs ยังได้พูดถึงเทคโนโลยีการรับรู้เสียง (voice recognition) ว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เมื่อเรากลับมาดูโลกของเทคโนโลยีทุกวันนี้จะพัฒนาขึ้นมากแล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี เมื่อดูจากการทำงานของ Siri ในภาพรวมที่ยังต้องพัฒนาต่อไปอีกด้วย

แท็บเล็ต และอัลตร้าบุ๊ก สองอุปกรณ์พกพามาแรงท่ามกลางความเสื่อมถอยของเน็ตบุ๊ก

        ย้อนกลับไปเมื่อราว 3-4 ปีที่แล้ว เน็ตบุ๊กนับเป็นผลิตภัณฑ์น้องใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของผู้บริโภคที่ต้องการอุปกรณ์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และใช้งานเพียงเข้าสู่โลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี ทว่าตั้งแต่แท็บเล็ตได้ถือกำเนิดขึ้น ความต้องการเน็ตบุ๊กก็น้อยลงเนื่องจากอุปกรณ์น้องใหม่สามารถใช้งานเพื่อสนองความต้องการได้ดีพอกัน อีกทั้งยังมีข้อดีอื่นที่เหนือกว่าคือ การตอบสนองผ่านหน้าจอระบบสัมผัสที่สามารถทำงานได้รวดเร็ว ร้านค้าออนไลน์ที่สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเพื่อเสริมความสามารถ และการประหยัดพลังงานที่ทำได้ดีกว่า เพราะฮาร์ดแวร์ภายในได้ถูกออกแบบมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ

          ถ้าจะกล่าวว่า 2011 เป็นปีแห่งแท็บเล็ต 2012 ก็คงจะกล่าวได้ว่าเป็นปีแห่งอัลตร้าบุ๊ก อุปกรณ์น้องใหม่ภายใต้แนวคิดของบริษัท Intel ที่ต้องการหลอมรวมข้อดีด้านประสิทธิภาพที่มากกว่าของโน้ตบุ๊กเข้ากันกับการตอบสนองที่ทันใจกว่าของแท็บเล็ต และขายภายใต้ราคาที่ต่ำกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ 

          ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ได้มีอัลตร้าบุ๊กหลายรุ่นเริ่มวางจำหน่ายและสามารถทำยอดขายได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับแรงหนุนจาก Intel เองจึงทำให้ผู้ผลิตหลายแบรนด์เริ่มเอาใจออกห่างจากเน็ตบุ๊ก เข่น Samsung และ Dell ที่มีแนวโน้มว่าจะเลิกผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวแน่นอน อีกทั้งหลายรายก็อาจเลิกพัฒนาแท็บเล็ตด้วย เพราะประสบปัญหาไม่สามารถดึงคะแนนนิยมของผู้บริโภคออกจาก iPad ได้

          แล้วปีนี้เราจะได้เห็นอะไรจากแท็บเล็ตกับอัลตร้าบุ๊ก? แน่นอนว่าประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้น น้ำหนักที่เบาลง หน้าจอความละเอียดสูง และการประหยัดพลังงานยังคงเป็นกุญแจและจุดขายสำคัญของอุปกรณ์ทั้งสอง ด้านแท็บเล็ตเราคงได้เห็นสงครามระหว่าง iPad และกองทัพ Android กันต่อไป แต่รายหลังคงมีทิศทางที่เป็นเอกภาพมากขึ้น โดย Google ไม่น่าจะปล่อยให้ Android 4.0 ประสบปัญหา Fragmentation ที่ต้องทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนลุ้นหวยทุกครั้งว่าอุปกรณ์ที่ตนซื้อมาจะสามารถอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ได้หรือไม่
          ด้านอัลตร้าบุ๊กนั้นก็เช่นกัน ที่คาดได้ว่ารุ่นถัดมาจะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมด้วยโปรเซสเซอร์ใหม่ แต่ว่าเนื่องจากคอนเซ็ปต์อัลตร้าบุ๊กได้รับการกำหนดโดย Intel จึงอาจทำให้หลายรุ่นที่ออกมาจากแต่ละค่ายไม่มีจุดขายที่โดดเด่นต่างจากกันมากนัก ผลก็คือแทนที่อัลตร้าบุ๊กจะเป็น MacBook Air Killer ก็อาจกลายเป็นต้องมารบแย่งลูกค้ากันเองมากกว่า