วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เมื่อสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตติดจรวด 2.3GHz / CPU 8-Core / GPU 72-Core




อีกเรื่องที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2013 ในด้านของฮาร์ดแวร์นั้นกลับไม่ใช่ Intel Haswell CPU 4thGeneration ของ Intel แต่อย่างใด แต่กลับเป็น CPU ARM บนอุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่นับวันจะยิ่งเหมือนคอมพิวเตอร์เข้าไปทุกที ล่าสุดในงาน CES 2013 นั้นผู้ผลิตชิพ ARM ทั้ง 3 ค่ายใหญ่อย่าง NIVDIA, Qualcommและ Samsung ต่างก็งัดไม้เด็ดของชิพรุ่นใหม่ที่จะวางจำหน่ายในปี 2013 มาอวดโฉมแบ่งประสิทธิภาพกันใหญ่

ผังการออกแบบของ NVIDIA Tegra 4 ที่มา : www.fonearena.com

เริ่มที่ NVIDIA ที่โวก่อนเปิดงาน CES 2013 เลยว่าชิพตัวใหม่ในนาม Tegra 4 นั้นแรงที่สุดในโลก แซงหน้า A6X ของ iPad 4th Generation ไปแบบขาดลอยด้วยแกนประมวลผลแบบ 4+1 Quad-core ประหยัดพลังงานสุดๆ แถมพก GPU มา 72-Core เลย รองรับการแสดงผลได้ในระดับ Ultra HD อีกด้วย พอวันต่อมา Qualcomm ก็ไม่ขอน้อยหน้าด้วยการเปิดตัว 4 พี่น้องตระกูล Snapdragon รุ่นใหม่ ได้แก่ Snapdragon 800 / 600 / 400 และ 200 โดยไม้เด็ดอยู่ที่พี่ใหญ่ Snapdragon 800 ที่พกแกนประมวลผลมา 4+1 Quad-core เช่นกัน แต่เร่งความเร็วออกมาถึง 2.3GHz!!! รองรับ Ultra HD ได้เหมือน Tegra 4 อีกด้วย

Qualcomm Snapdragon Series ที่มา : www.techindustriya.com

ส่วนวันที่ 3 ทาง Samsung ก็ขอเล่นของกับเขาบ้างด้วย Exynos 5 Octa ที่ไม่ได้เน้นความเร็ว แต่พี่ขอทำได้หลายอย่างพร้อมกันด้วยแกนประมวลผลที่ติดมาถึง 8-Core สร้างความฮือฮาในวงการได้ไม่น้อย แถมยังเป็นการประกาศศักดิ์ดาว่า CPU ARM พร้อมเข้ามาแทนที่คอมพิวเตอร์แล้ว และเตือนว่ายุค Post-PC นั้นเป็นไปได้มากกว่ายุค PC-Plusในขณะที่ CPU ฝั่งคอมพิวเตอร์ X86 ยังไม่สามารถรุกล้ำอธิปไตยของ ARM บนสมาร์ทโฟนได้จนกระทั่งการเปิดตัว Lenovo IdeaPhone สมาร์ทโฟนตัวแรกที่ยัด Intel Atom CPU X86 ลงไปได้เป็นรุ่นแรก จึงน่าจับตามองเป็นอย่างมากกว่าทั้ง Tegra 4, Snapdragon 800และ Exynos 5 จะมีประสิทธิภาพมากขนาดไหน และอุปกรณ์ตัวได้จะได้ใช้กันเป็นรายแรก

Samsung Exynos 5

ยกทุกอย่างไว้บนอากาศ ให้ก้อนเมฆเป็นคลังข้อมูลของคุณกับระบบ Cloud



เมื่อช่วงกลางปี 2012 ผมได้เขียนเรื่องของ Cloud Computing หรือระบบการประมวลผลและเก็บข้อมูลผ่านเซิฟเวอร์ไร้ตัวตน (สำหรับเรา) กันไปแล้ว อันเป็นนิยามใหม่ของการใช้งานคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน แต่ทว่าความแพร่หลายนั้นก็ยังมีไม่มากนัก แต่ Cloud ก็ยิ่งน่าจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 2013 นี้

ทำไม Cloud ที่มีมานานจึงน่าจับตามองในปีนี้หรือครับ? นั่นก็เพราะว่าที่ผ่านมาในชีวิตจริงคุณได้ใช้ Cloud กันสักเท่าไหร่นอกจากการเก็บข้อมูลนิดๆ หน่อยๆ แต่ในปี 2013 Cloud จะมีบทบาทกับคุณมากขึ้นโดยเฉพาะกับคนที่ใช้ Windows 8, Windows Phone 8 นั่นก็เพราะ Microsoft บังคับให้ SkyDriveฝั่งอยู่ในเครื่องของคุณเลย นอกจากนี้โปรแกรมต่างๆ ก็รองรับการทำงานผ่าน Cloud มากขึ้นอย่าง Office 2013 และ Office 365 ที่เปลี่ยนการบันทึกข้อมูลเข้าระบบ Cloud เป็นหลัก หรือจะเป็นโปรแกรมบนหน้าเบราเซอร์ใหม่อย่าง Office Web App นั่นก็ประมวลผลผ่าน Cloud กลายเป็นว่า Cloud ยิ่งจะซึมซาบเข้าสู่พฤติกรรมการใช้งานของเรามากขึ้น จนถึงจุดที่เรารู้สึกได้ในปี 2013 นี้แล้ว

SkyDrive ที่เข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ ทุกระบบปฏิบัติการ

นอกจากการเก็บข้อมูล Cloud ก็เริ่มมีบทบาทในวงการเกมมากขึ้น ระบบเกมสตรีมมิ่งหรือการเล่นเกมโดยให้เซิฟเวอร์ที่ไหนไม่รู้ประมวลผลให้แล้วส่งภาพมาให้เราเป็นฉากๆ แทนก็เริ่มเข้ามาในชีวิตเราในอีกเร็วๆ นี้ ซึ่ง Microsoft กลายเป็นหัวหอกหลักที่จะให้บริการผ่าน Xbox Live เป็นต้น ความน่าสนใจของ Cloud จึงกำลังถูกจับตามองมากที่สุดในปีนี้นี่เอง

นอกจากทั้ง 6 เทคโนโลยีนี้แล้ว ยังมีอะไรอีกมากที่เราต้องติดตามชมกันต่อไปในปีนี้ และผมเชื่อว่ายังมีนวัตกรรมใหม่ๆ อีกมากที่ยังคงเป็นความลับและรอการเปิดเผยอยู่ แต่สิ่งที่เราควรจะตระหนักไว้ก็คือการวิ่งไล่ตามเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดหย่อนนั้นอาจจะกลายเป็นภัยต่อตนเอง เพราะการจะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ปัจจัยเดียวที่พวกเขาต้องการคือเงินจากกระเป๋าของคุณ ฉะนั้นติดตามเทคโนโลยีไว้อย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ต้องไปวิ่งไล่จับมันนะครับ พอใจในสิ่งที่เรามีดีที่สุด (อันนี้แหละทำยากที่สุดล่ะ กิเลสมักเหนือกว่าเสมอเวลาเจอของใหม่ๆ เจ๋งๆ 555)

โดย Techaholic

มาตรฐานความละเอียดใหม่ที่คมชัดกว่าเดิมด้วย 4K Ultra HD


ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เวลาเราจะซื้อหน้าจอแสดงผลสักตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือมอนิเตอร์นั้น สิ่งแรกๆ ที่เรามองหากันนั่นก็คือมีสัญลักษณ์ Full HD หรือไม่ กับความละเอียดที่เป็นมาตรฐานสูงสุดในตอนนั้นด้วยสัดส่วน 1,920 X 1,080p ที่จะแสดงภาพได้คมชัดทุกรายละเอียด แต่ในปี 2013 Full HD กำลังจะสละบัลลังก์มาตรฐานสูงสุดให้กับความละเอียดใหม่ในนาม Ultra HD หรือที่รู้จักกันสั้นๆ ว่า 4K กันแล้ว

ขนาดความละเอียดของ Ultra HD เมื่อเทียบกับความละเอียดมาตรฐานอื่นๆ ที่มา : wikipedia.org

Ultra HD (ขอเรียกชื่อนี้จะได้ติดปากกันนะครับ เพราะ 4K เป็นชื่อไม่เป็นทางการ) เป็นความละเอียดของจอแดงผลมาตรฐานใหม่ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 3,840 X 2,160 (8.3 ล้านพิกเซล) หรือจะกะง่ายๆ ก็คือการนำเอาหน้าจอ Full HD มาเรียงประกอบกัน 4 จอก็จะได้ความละเอียด Ultra HD ซึ่งเริ่มมีการผลิตเป็นโทรทัศน์ออกมาในช่วงปลายปี 2012 จากค่าย LG และ Sony ที่จำหน่ายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เพียงจะมาเปิดตัวเป็นจริงเป็นจังครบทุกค่ายในปี 2013 จากงาน CES 2013 นี้เอง โดยการขยายความละเอียดออกไปในครั้งนี้ทำให้สามารถสร้างหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นระดับ 84 นิ้ว ถึง 110 นิ้วโดยที่ยังคงความละเอียดคมชัดสมจริง เพราะถ้าหากหน้าจอขนาดใหญ่แต่ยังใช้ Full HD อยู่จะมีผลทำให้ภาพคมชัดน้อยลงจากเม็ดพิกเซลแต่ใหญ่ขึ้นเพื่อรับหน้าจอนั่นเอง

Samsung Smart TV S9000 ขนาด 84 นิ้วความละเอียด Ultra HD ที่มา : www.itworld.co.kr

ด้วยมาตรฐานนี้ กล้องวิดีโอสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ความละเอียด Ultra HD จึงเปิดตัวออกมาอย่างรวดเร็วตามกัน รวมทั้งสถานีโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ KBS ก็เริ่มทดสอบการออกอากาศด้วยความละเอียด Ultra HD แล้ว (เมืองไทยยังอนาล็อกบ้านๆ อยู่เลยให้ตายสิ!) ใครฝันว่าจะได้เห็นสิวเสี้ยวของสาวๆ วง SNSD ก็คงจะได้เห็นกันในทีวีช่องนี้ล่ะครับ แต่ด้วยความเป็นเทคโนโลยีใหม่ และต้นทุนการผลิตสูง ทำให้ทีวีขนาด Ultra HD นั้นมีราคาเกินแสนทุกรุ่น!(เปิดตัวออกมาเป็นหน้าจอ 84 นิ้ว ส่วนหน้าจอ 55 นิ้วลงไปยังไม่มีการกล่าวถึงราคามากนัก) อาจจะต้องใช้เวลาอีกพัก 2-3 ปีกว่า Ultra HD จะเข้ามาแทน Full HD ได้อย่างสมบูรณ์

LG 3D Smart TV 84LM9600ขนาด 84 นิ้วที่วางจำหน่ายไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว 

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิธีใช้งานฟีเจอร์ Do Not Disturb บน iOS 6




วันนี้ข่าวไอที เทคโนโลยี จะขอนำความรู้มาให้หลายๆคนที่ยังคงสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า Do Not Disturb คืออะไรและใช้ทำอะไรได้บ้างเรามีคำตอบมาให้

Do Not Disturb คือ โหมดห้ามรบกวน ตั้งเพื่อไม่ให้ iPhone เตือนตลอดเวลา, บล็อคสายที่ไม่ต้องการให้โทรเข้า, เลือกช่วงเวลาได้ว่าจะเปิดโหมดนี้เมื่อไหร่

หลักการทำงานของ DO NOT DISTURB

  • ปิดการแจ้งเตือนของ Notification ต่างๆ ไม่ให้แสดงออกมาที่หน้าจอ
  • กรองเบอร์โทรได้ว่าใครสามารถโทรหาได้
  • โหมดจะเริ่มทำงานหลังจากการเปิดใช้และต้องล็อคหน้าจอแล้วเท่านั้นถึงจะเห็นผล

การเปิดใช้งาน DO NOT DISTURB 

เปิดใช้งานไปที่ Settings > Do Not Disturb. เลือกเป็น ON จากนั้นจะเห็นไอคอนรูปพระจันทร์อยู่ใกล้ๆ กับนาฬิกา

การตั้งค่าของ DO NOT DISTURB

ตั้งค่าเพิ่มเติมที่ Settings> Notifications> Do Not Disturb
ส่วนนี้เราสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้โหมดนี้ทำงานอัตโนมัติหรือไม่ เช่น ตั้งให้เปิดโหมดนี้ทุกวันตั้งแต่เวลา 23.00 – 7.00 น. ผลที่ได้คือ ตั้งแต่ 5 ทุ่มเป็นต้นไปหากใครโทรหาก็จะไม่ติดมันจะตัดสายให้ทันที (เว้นแต่โทรติดต่อกัน 3 ครั้งใน 3 นาที อันนี้ตั้งค่าที่ Repeated Call)
  • Scheduled คือ การตั้งเวลาว่าจะให้เปิดโหมดนี้เองแบบออโต้โดยเลือกช่วงเวลาที่ต้องการเปิดได้
  • Allow Calls From คือ การตั้งค่าให้เบอร์ไหนสามารถโทรหาได้แม้ว่าเราเปิดโหมดนี้ พอกดเข้าไปจะเจอ
    • Everyone โทรได้ทุกคน
    • No One โทรไม่ได้ทุกคน
    • Favorites โทรได้เฉพาะรายชื่อที่เราตั้งไว้ในโหมดเบอร์สนิท
    • ทั้งนี้สามารถเลือกตาม Groups ได้ (การสร้าง Group ใน Contacts ของ iPhone)
  • Repeated Calls เปิดเพื่อหากมีใครโทรหาเราเกิน  2 ครั้งใน 3 นาทีมันจะโทรติดได้ เข้าใจว่าเผื่อกรณีที่จำเป็นจริงๆ ถ้าต้องการติดต่อ
หายสงสัยกันเเล้วใช่ไหมและเมื่อทราบแล้วล่ะก็อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะจ๊ะจะได้ทันต่อเทคโนโลยี

เทคนิคการใช้งานง่ายๆบน iOS 6


เมื่อได้มีการเปิดตัวมาได้ระยะหนึ่งแล้วกับ iOS 6 ซึ่งเป็นระบบการใช้งานได้บน new iPad, iPad 2, iPhone 4S, iPhone 4, iPhone 3GS และ  iPod touch Gen 4 วันข่าวไอที เทคโนโลยีมาพร้อมฟีเจอร์ที่น่าสนใจกว่า 200 คุณสมบัติ ลองไปดูทิปที่น่าสนใจกัน ตัวอย่างเช่น



 


แชร์ได้ในพริบตาผ่าน Notification Center



โดยปกติใครที่ใช้ iOS 5 มาก่อน หลายคนอาจจะเปิด Notification Center เข้ามาดูบ้าง แต่สำหรับบน iOS 6 นี้นั้นเราสามารถแชร์ข้อความรวมถึงสถานะบน twitter และ facebook ผ่าน Notification Center ได้เลย โดยลากแถบ Notification Center ลงมา จะพบปุ่ม “Tap to Tweet” และ “Tap to Post” จากนั้นเราสามารถโพสข้อความลงบน Twitter และ Facebook ได้โดยไม่ต้องเปิดแอพนั้นๆเลยง่ายและประหยัดเวลาอีกด้ว

คุณสมบัติการโทร กดตัดสาย รับสาย ส่งข้อความได้ทันที

iOS ในรุ่นก่อนๆ คุณจะต้องกดปุ่ม power ซ้ำกัน 2 ครั้งเพื่อตัดสายที่ไม่อยากรับ หรืออยู่ในระหว่างการประชุม บน iOS 6 หากมีคนโทรเข้ามา ก็จะแสดงปุ่มที่เกี่ยวข้องกับการโทร หากไม่ต้องการรับสาย จะมีตัวเลือก Reply with Message โดยจะมีข้อความสำเร็จรูปให้เราส่งหาผู้โทร และ Remind Me Later เผื่อเราประชุมเสร็จแล้วลืมโทรกลับ ได้ด้วยสะดวกมากเลย


แชร์สะดวกจาก Safari



หากเรากดปุ่ม Share ใน Safari จะพบกับตัวเลือกในการแชร์แบบใหม่ ที่ให้แชร์ผ่านอีเมล์, iMessage SMS, Twitter หรือ Facebook ได้เลย

 แชร์ภาพผ่าน PhotoStream

 

ถ่ายภาพแล้วแชร์ภาพผ่าน Photo Streams ได้จากแอพ Photos ได้ด้วยโดยกด Edit เลือกภาพที่ต้องการแชร์ กดปุ่ม Share แล้วเลือก Photo Stream กรอกอีเมล์ที่ต้องการแชร์ ตั้งชื่อ Photo Stream โดยเราสามารถกำหนดได้ว่า จะให้ผู้รับชมภาพเราได้จากลิงก์โดยตรง หรือคนที่ไม่ได้ใช้บริการ iClound สามารถคลิกชมภาพเบราวเซอร์บน iCloud.com ได้เช่นกัน


โหมดถ่ายภาพแบบ Panorama



สำหรับเครื่องที่รองรับ iOS 6 คุณสามารถถ่ายภาพแบบ Panorama ได้ ในคุณสมบัตินี้รองรับการใช้งานบน iPhone 4S, iPhone 5 และ iPod touch Gen 5th ปกติแล้วการถ่ายภาพแบบพาโนรามา ต้องพึ่งแอพอย่าง 360 Panorama สำหรับการถ่ายภาพแบบนี้เพียงแค่เข้าแอพ Camera เลือก Options > Panorama จากนั้นกดถ่ายภาพ และเลื่อนไปทางขวาเพื่อถ่ายภาพต่อไป เมื่อเสร็จแล้วให้กดปุ่มชัตเตอร์อีกครั้ง

ยังมีเทคนิคและเทคโนโลยีการใช้งานบน iOS 6 อีกมากมายและน่าสนใจสามารถติดตามและนำไปใช้ได้ด้วยอย่าลืมลองไปเล่นกันดูนะจ๊ะถ้าไม่ทันสมัยอย่าหาว่าเราไม่เตือนนะ^^

คำทำนายพ่อมดเทคโนโลยี Steve Jobs ในปี 1983 ที่หายไป



คำนายของพ่อมดเทคโนโลยี Steve Jobs ในปี 1983 ที่หายไป international update hot update


นวันนี้ 5 ตุลาคมถือเป็นวันครบรอบ 1 ปีที่โลกได้สูญเสียพ่อมดเทคโนโลยีที่ชื่อ Steve Jobs ไปตลอดกาลและวันนี้ก็ได้มีการเปิดเผยถึงสุนทรพจน์ที่หายไปบางส่วนของ Jobs ซึ่งได้ขึ้นพูดในงาน International Design Conference in Aspen ในปี 1983 โดยได้พูดถึงเทคโนโลยีวันนี้เมื่อ 30 ปีก่อน
ในงานดังกล่าวนี้เอง Steve Jobs ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่ ที่มีขนาดเพียงเเค่หนังสือเล่มหนึ่งที่ทุกคนสามารถถือและพกพาได้และสามารถเรียน รู้การใช้งานได้เวลาเพียง 20 นาที และสามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณโทรศัพท์ไร้สายสำหรับการติดต่อสื่อสาร
Steve Jobs ยังได้บอกอีกว่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาในวันนี้ พวกเขาจะเติบโตอยู่ในยุคแห่งคอมพิวเตอร์และตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาจะเต็มไป ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มากมาย และผู้คนในยุคสมัยใหม่จะใช้เวลากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากกว่ารถยนต์ โดยพวกเขาสามารถรับส่งอีเมลล์ได้ไม่ว่าจะกำลังเดินหรืออยู่ที่ใด ในตอนนั้น Jobs ได้บอกว่าบริษัทของเขากำลังจะใช้งานในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในสำนักงานเข้าด้วยกัน และห่างออกไปอีก 10 ปีสำหรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตเข้ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไปแล้วถือว่าใกล้เคียงมาก เพราะ ในช่วงปี 1993 นั้นเริ่มมีการเปิดรับ การใช้งานอินเตอร์เนตเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และยังไม่หมดเพียงเเค่นี้ Jobs ยังได้พูดถึงเทคโนโลยีการรับรู้เสียง (voice recognition) ว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เมื่อเรากลับมาดูโลกของเทคโนโลยีทุกวันนี้จะพัฒนาขึ้นมากแล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี เมื่อดูจากการทำงานของ Siri ในภาพรวมที่ยังต้องพัฒนาต่อไปอีกด้วย

แท็บเล็ต และอัลตร้าบุ๊ก สองอุปกรณ์พกพามาแรงท่ามกลางความเสื่อมถอยของเน็ตบุ๊ก

        ย้อนกลับไปเมื่อราว 3-4 ปีที่แล้ว เน็ตบุ๊กนับเป็นผลิตภัณฑ์น้องใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของผู้บริโภคที่ต้องการอุปกรณ์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และใช้งานเพียงเข้าสู่โลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี ทว่าตั้งแต่แท็บเล็ตได้ถือกำเนิดขึ้น ความต้องการเน็ตบุ๊กก็น้อยลงเนื่องจากอุปกรณ์น้องใหม่สามารถใช้งานเพื่อสนองความต้องการได้ดีพอกัน อีกทั้งยังมีข้อดีอื่นที่เหนือกว่าคือ การตอบสนองผ่านหน้าจอระบบสัมผัสที่สามารถทำงานได้รวดเร็ว ร้านค้าออนไลน์ที่สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเพื่อเสริมความสามารถ และการประหยัดพลังงานที่ทำได้ดีกว่า เพราะฮาร์ดแวร์ภายในได้ถูกออกแบบมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ

          ถ้าจะกล่าวว่า 2011 เป็นปีแห่งแท็บเล็ต 2012 ก็คงจะกล่าวได้ว่าเป็นปีแห่งอัลตร้าบุ๊ก อุปกรณ์น้องใหม่ภายใต้แนวคิดของบริษัท Intel ที่ต้องการหลอมรวมข้อดีด้านประสิทธิภาพที่มากกว่าของโน้ตบุ๊กเข้ากันกับการตอบสนองที่ทันใจกว่าของแท็บเล็ต และขายภายใต้ราคาที่ต่ำกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ 

          ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ได้มีอัลตร้าบุ๊กหลายรุ่นเริ่มวางจำหน่ายและสามารถทำยอดขายได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับแรงหนุนจาก Intel เองจึงทำให้ผู้ผลิตหลายแบรนด์เริ่มเอาใจออกห่างจากเน็ตบุ๊ก เข่น Samsung และ Dell ที่มีแนวโน้มว่าจะเลิกผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวแน่นอน อีกทั้งหลายรายก็อาจเลิกพัฒนาแท็บเล็ตด้วย เพราะประสบปัญหาไม่สามารถดึงคะแนนนิยมของผู้บริโภคออกจาก iPad ได้

          แล้วปีนี้เราจะได้เห็นอะไรจากแท็บเล็ตกับอัลตร้าบุ๊ก? แน่นอนว่าประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้น น้ำหนักที่เบาลง หน้าจอความละเอียดสูง และการประหยัดพลังงานยังคงเป็นกุญแจและจุดขายสำคัญของอุปกรณ์ทั้งสอง ด้านแท็บเล็ตเราคงได้เห็นสงครามระหว่าง iPad และกองทัพ Android กันต่อไป แต่รายหลังคงมีทิศทางที่เป็นเอกภาพมากขึ้น โดย Google ไม่น่าจะปล่อยให้ Android 4.0 ประสบปัญหา Fragmentation ที่ต้องทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนลุ้นหวยทุกครั้งว่าอุปกรณ์ที่ตนซื้อมาจะสามารถอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ได้หรือไม่
          ด้านอัลตร้าบุ๊กนั้นก็เช่นกัน ที่คาดได้ว่ารุ่นถัดมาจะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมด้วยโปรเซสเซอร์ใหม่ แต่ว่าเนื่องจากคอนเซ็ปต์อัลตร้าบุ๊กได้รับการกำหนดโดย Intel จึงอาจทำให้หลายรุ่นที่ออกมาจากแต่ละค่ายไม่มีจุดขายที่โดดเด่นต่างจากกันมากนัก ผลก็คือแทนที่อัลตร้าบุ๊กจะเป็น MacBook Air Killer ก็อาจกลายเป็นต้องมารบแย่งลูกค้ากันเองมากกว่า

อินเทอร์เฟซใหม่เอาใจแอพพลิเคชั่นโมบายล์



          ความเคลื่อนไหวหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าอินเทอร์เฟซดั้งเดิมอายุ 20 กว่าปีที่ประกอบไปด้วยหน้าต่าง ไอคอน เมนู และลูกศรเมาส์ จะเริ่มหลีกทางให้ระบบสัมผัส การใช้ท่าทางรวมทั้งการสั่งด้วยเสียงที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิม แนวโน้มนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นกับแอพพลิเคชั่นโมบายล์เท่านั้น แต่กับเดสก์ท็อปดั้งเดิมก็ได้ถูกนำมาใช้งานด้วย Mac OS X Lion และ Windows 8 เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะ Lion นับเป็นระบบปฏิบัติการตัวแรกจาก Apple ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้ใช้งานกับท่าทางระบบสัมผัสที่หลากหลาย การเปิดแอพพลิเคชั่นแบบเต็มจอ และ Launchpad หน้าจอแสดงรายชื่อแอพพลิเคชั่นที่ได้รับอิทธิพลมาจาก iOS แบบเต็ม ๆ 

          ด้าน Windows 8 ก็ได้รับการพัฒนาให้รองรับระบบสัมผัสมาตั้งแต่ต้นโดยการแบ่งอินเทอร์เฟซออกเป็นสองชั้น คือ Metro สำหรับใช้งานร่วมกับหน้าจอสัมผัสของแท็บเล็ต และ Classic หรือแบบดั้งเดิมที่ใช้งานร่วมกับเมาส์และคีย์บอร์ดที่เราคุ้นเคย หลายฝ่ายมองว่าจุดเด่นของ Windows 8 ข้อนี้เป็นเหมือนกับดาบสองคม นัยหนึ่งก็จะเอื้อต่อการพัฒนาอุปกรณ์ประเภทไฮบริจ ที่รวมกันระหว่างแท็บเล็ตกับโน้ตบุ๊กอย่าง ASUS Transformer Prime แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความวิตกว่าจะสร้างความซับซ้อนและความสับสนในการใช้งานโปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นที่อาจไม่สามารถทำงานได้อย่าง "ไร้รอยต่อ" ระหว่างอินเทอร์เฟซทั้งสอง

          แต่ว่าดาวเด่นในปีนี้ ก็เห็นจะเป็นเทคโนโลยีการใช้ท่าทางและการสั่งด้วยเสียงที่ชัดเจนว่าจะมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ความสำเร็จของ Kinect จากที่เป็นเพียงอุปกรณ์เล่นเกมนั้นได้ถูก Microsoft ให้คำมั่นแล้วว่าจะพอร์ตมาลงพีซีแน่นอนในปีนี้ โดยจะได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งานในระยะใกล้มากขึ้น มีความแม่นยำกว่าเดิมถึงขั้นอาจตรวจจับริมฝีปากของเราได้ รวมทั้งจะสนับสนุนด้านการพัฒนาต่อยอดด้วยการปล่อย Software Development Kit (SDK) สำหรับนักพัฒนาที่สนใจ ส่งผลให้มีก็แต่จินตนาการของเราเท่านั้นที่เป็นข้อจำกัด 

          สำหรับการสั่งด้วยเสียงนั้น Siri ลูกเล่นเด่นที่สุดของ iPhone 4S ทำให้ความฝันที่คอมพิวเตอร์จะสามารถตอบสนองผู้ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติใกล้เคียงความจริงเข้าไปทุกที ถึงแม้จะเป็นที่ยอมรับว่าเทคโนโลยีน้องใหม่นี้ยังมีอุปสรรคด้านภาษาและสำเนียงที่รองรับซึ่งต่างไปในแต่ละพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คู่แข่งอย่าง Google ละความพยายามในการพัฒนาออกมาเป็นคู่แข่ง Majel คือชื่อรหัสของการสั่งด้วยเสียงจากยักษ์ใหญ่ด้านเอ็นจิ้นค้นหาที่ได้สานต่อการพัฒนามาจาก Voice Actions เดิมที่รองรับคำสั่งเป็นราย ๆ ไป แต่ Majel จะมีความคล้ายคลึงกับ Siri มากกว่าตรงที่สามารถตีความบริบท (Context) ของเหตุการณ์ตอนนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ คาดว่า Android เวอร์ขั่นใหม่คงมีเทคโนโลยีนี้เสริมมาด้วยแน่นอน

          นอกจากเดิมที่นักพัฒนาต้องทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ที่มีอยู่มากมายแล้ว อินเทอร์เฟซใหม่โดยเฉพาะสองอย่างหลังที่ไม่ต้องการสัมผัสร่างกายใด ๆ นั้น ทำให้การพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับอุปกรณ์พกพาในยุคหน้ามีความท้าทายกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีจินตนาการสูงสามารถนำอินเทอร์เฟซใหม่นี้มาประยุกต์พัฒนาแอพพลิเคชั่นให้มีลูกเล่นน่าสนใจมากขึ้น

          ข่าวดีอีกข้อหนึ่งก็คือ เทคโนโลยีเว็บฯ ยุคหน้าอย่าง HTML5 นั้นถูกพัฒนาเสริมเขี้ยวเล็บมากขึ้นกว่าเดิมจนเป็นที่ยอมรับ การยกเลิกพัฒนา Flash Player บนอุปกรณ์พกพาโดย Adobe นับเป็นสัญญาณที่ดีว่าอีกไม่นาน นักพัฒนาคงไม่ต้องปวดหัวเรียนรู้คุณลักษณะหลายประการที่มีอยู่ในแพลตฟอร์มเฉพาะ Gartner ได้ทำนายว่า ภายในปี 2015 แอพพลิเคชั่นกว่าครึ่งที่เคยเป็นเนทีฟแอพ ซึ่งสามารถรันได้บนอุปกรณ์เฉพาะอย่าง จะถูกเปลี่ยนมาเป็นเว็บแอพฯ ที่สามารถใช้งานได้ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ทั่วไป

 ประสบการณ์ใช้งานที่เข้าใจเราได้มากขึ้น

          เครือข่ายสังคมที่เราใช้งานทุกวัน ไม่เพียงแต่มีข้อดีที่ทำให้เราเชื่อมถึงกันได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ข้อมูลทุกๆ อย่างรวมทั้งคอนเทนต์ที่เรา "แบ่งปัน" หรือกด "ชอบ" ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกเฉพาะของแต่ละคนได้ Facebook ได้ใช้ความจริงข้อนี้ในการแสดงโฆษณาข้าง ๆ หน้าจอเวลาใช้งาน Zite แอพพลิเคชั่นยำข่าวชื่อดังบน iOS สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการอ่านได้ว่าเราชอบบทความในลักษณะใด ซึ่งจะส่งผลต่อการเปิดใช้งานครั้งต่อไปให้คัดเลือกเฉพาะประเภทข่าวที่เราสนใจเท่านั้นมาแสดงผล หรือจะเป็นระบบแนะนำสินค้าใน Amazon ที่สามารถเสนอขายสินค้า ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันหรือโปรโมชั่นที่น่าสนใจให้กับเราได้โดยอ้างอิงจากพฤติกรรมการเลือกดูสินค้าที่ผ่านมา

          กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายคือ คอนเซ็ปต์ของ Context-Aware Computing นั้น จะนำข้อมูลที่เกี่ยวโยงกับผู้ใช้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความชอบ พฤติกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเครือข่ายเพื่อนฝูงมาพัฒนาปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้และบริการให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการคาดเดาความต้องการเพื่อที่จะป้อนคอนเทนต์หรือลักษณะการบริการที่เหมาะสมกับเรา

          จากตัวอย่างที่กล่าวไปจะเห็นได้ว่า ไม่เพียงแต่บริการออนไลน์ในอนาคตที่มีแนวโน้มที่จะเข้าใจความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคลได้มากกว่าเดิมเท่านั้น แต่ความเป็นไปได้ในการนำไปประยุกต์ใช้ยังมีหลากหลาย แนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเชื่อมโยงข้อมูลของผู้ใช้เข้ากันกับบริการอื่นที่มีอยู่แล้ว ทั้งอีคอมเมิร์ซ โมบายล์แบงก์กิ้ง โลเคชั่น รวมทั้ง Augmented Reality ให้กลายมาเป็นบริการที่โดดเด่นด้วยความเป็นอินเทอร์แอ็คทีฟ และมอบประสบการณ์ที่สอดคล้องกับบุคลิกของผู้ใช้ได้มากที่สุดและเอื้อให้มีปฏิสัมพันธ์ในระยะยาว ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของการบริการทั้งปวง

Terrafugia Transition รถบินได้คันแรกของโลก



          ในที่สุดฝันของใครหลายคนที่อยากขับรถบินได้ก็เป็นจริงแล้ว ก็คือเจ้ารถ Terrafugia Transition โดยรถบินได้นี้ได้ถูกเปิดตัวไปแล้วในงาน New York International Auto Show เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะได้จำหน่ายในช่วงปี 2013 ด้วยราคา 279,000 (ประมาณ 8,500,000 บาท) ใครอยากได้ก็รีบเก็บเงินไว้ซื้อกันเลยนะ


Terrafugia Transition รถบินได้คันแรกของโลก

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Internet of Things เมื่อทุกสิ่งเชื่อมถึงอินเทอร์เน็ต



 
          ตามจริงแล้ว Internet of Things (IoT) ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นไอเดียดั้งเดิมที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างช้าๆ แนวคิดนี้อธิบายว่า วัตถุที่เราใช้งานในชีวิตประจำวันจะมีความชาญฉลาดมากขึ้น สามารถเชื่อมถึงกันและสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยอาศัยเซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ภายใน ซึ่งแต่ก่อนสามารถทำได้ยากเพราะกระบวนการผลิตไมโครชิพยังไม่ได้รับการพัฒนามากเท่าปัจจุบัน แต่ช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ เราได้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เซ็นเซอร์มีขนาดเล็กลง รวมทั้งระบบปฏิบัติการที่ได้รับการพัฒนาให้ยืดหยุ่นมากขึ้นนั้นก็เอื้อให้แนวคิดนี้มีความเป็นไปได้สูง

          ไม่เพียงแต่เซ็นเซอร์เท่านั้นที่มีส่วนให้ IoT ได้รับการพัฒนา แต่เทคโนโลยีที่เกี่ยวโยงกันอย่างการรู้จำภาพ (Image Recognition) และ Near Field Communication (NFC) ก็มีส่วนด้วยเช่นกัน ลูกเล่นการรู้จำภาพทำให้สัญลักษณ์อย่าง QR Code สามารถนำไปใช้ในการระบุตัวตนและให้ข้อมูลกับวัตถุได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่สินค้าและบริการ ไปจนถึงข้อมูลส่วนบุคคลผ่านทางโลโก้ที่อยู่บนเสื้อยืด ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับอุปรณ์พกพาในปัจจุบันที่มักติดกล้องถ่ายภาพมาให้และบริการ 3G ที่ทำให้การสแกนและการเชื่อมต่อฐานข้อมูลออนไลน์เป็นไปอย่างรวดเร็ว

          ที่น่าจับตาในปีนี้ NFC หรือเทคโนโลยีรับ-ส่งข้อมูลระยะสั้นที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ทั้งบริการไมโครเพย์เมนต์ผ่านทางเครื่องอ่านที่ช่องทางชำระเงิน หรือใช้แทนกุญแจห้องพัก แต่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายชี้ว่า กว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายก็คงต้องรอจนกว่าจะถึงปี 2015 ที่อุปกรณ์พกพาทุกชิ้นจะรองรับลูกเล่นดังกล่าว ระหว่างนี้สิ่งที่ต้องทำคือ พัฒนารูปแบบการใช้งานและการรักษาความปลอดภัยให้ดีขึ้น สร้างความรับรู้ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคทั่วไป รวมทั้งชี้ให้ร้านค้าให้ตระหนักถึงคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากเทคโนโลยีนี้

 ร้านค้าออนไลน์ หรือซีดีจะถึงจุดจบ?

          โมเดล App Store จาก Apple และ Android Market จาก Google ได้วางรากฐานการซื้อ-ขายแอพพลิเคชั่นและโปรแกรมในยุคหน้าไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยราคาขายที่สามารถทำให้ถูกกว่าวางจำหน่ายตามร้านค้าปลีกและความง่ายในการใช้งาน ทำให้ไม่แปลกใจที่ยอดดาวน์โหลดของร้านค้าออนไลน์ทั้งสองจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          Gartner ได้คาดเดาว่า ภายในปี 2014 ยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นโดยรวมต่อปีจะเพิ่มเป็น 7 หมื่นล้านครั้ง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงเมื่อดูจากยอดขายของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยคือ สื่อออฟติคอลดั้งเดิมอย่างซีดีหรือดีวีดี มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมลดลง Steam จากบริษัท Valve นับเป็นผู้เบิกทางการขายซอฟต์แวร์เกมออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนกระทั่งนำไปสู่การพัฒนาต่อยอด อย่างเช่น OnLive บริการสตรีมมิ่งเนื้อหาเกมที่ต้องการเพียงคอมพิวเตอร์สักเครื่องที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็สามารถเสพเกมระดับ AAA ได้ 

          ทางด้านซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชันทั่วไปก็คงต้องยกให้ Apple ที่ใจถึงไม่ยอมขาย Mac OS X Lion แบบกล่อง แต่ให้ดาวน์โหลดผ่านทาง Mac App Store เท่านั้น รวมถึงการที่ทยอยวางจำหน่ายซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ผ่านทางร้านค้าออนไลน์แต่เพียงแห่งเดียวด้วย โดยได้สอดคล้องกับแนวโน้มแล็ปท็อปในยุคหน้าที่จะมีลักษณะเป็น MacBook Air/อัลตร้าบุ๊กที่มีความบางเบา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีออฟติคอลไดรฟ์มาให้ด้วยนั่นเอง

          มาในปีนี้แนวโน้มดังกล่าวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ซ้ำกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะ Microsoft จะได้ฤกษ์เปิดใช้งาน Windows Store สำหรับใช้งานกับอุปกรณ์ Windows 8 ทั้งหมด โดยมาพร้อมกับข้อเสนอที่ยั่วยวนใจอย่างลดการหักค่าหัวคิวลง เมื่อแอพพลิเคชั่นใดสามารถทำยอดขายได้เกินที่ระบุ หรือการวางจำหน่ายแอพพลิเคชั่นเฉพาะบางพื้นที่เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และด้วยฐานผู้บริโภค Windows ที่กว้างอยู่แล้ว ยิ่งทำให้น่าติดตามมากว่ายอดดาวน์โหลดของ Windows Store จะเป็นอย่างไร

          สรุปโดยภาพรวมคือ เทรนด์เทคโนโลยีในปีนี้มีแนวโน้มที่จะเชื่อมถึงกันมากขึ้นผ่านช่องทางบริการออนไลน์ต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงได้ โดยผ่านทางอุปกรณ์พกพาที่อาจหลอมรวมกันแบบไฮบริจ ใช้งานด้วยอินเทอร์เฟซแบบใหม่ เสริมเขี้ยวเล็บด้วยแอพพลิเคชั่นนับไม่ถ้วน ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ถูกต้อง ทั้งหมดนี้อาจไม่ใช่ของใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราจะได้เห็นการใช้งานที่แพร่หลายมากกว่าเดิมแน่นอนครับ

Canon


Canon เปิดตัวกล้องรุ่นกลางของซีรีส์ EOS ตัวใหม่ในชื่อรุ่น EOS 70D อัพเดตจากรุ่นก่อนหน้าที่เปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2010 มีการปรับปรุงไปหลายส่วนดังนี้ครับ
อย่างแรกคือเปลี่ยนเซนเซอร์ไปใช้รุ่นใหม่ที่เป็น Dual Pixel CMOS AF ความละเอียด 20.2 เมกะพิกเซล ช่วยให้โฟกัสภาพได้ไวขึ้นทั้งในโหมดถ่ายวิดีโอ และโหมด Live View มาพร้อมกับชิปประมวลผลภาพ DIGIC 5+ เพิ่มจุดโฟกัสเป็น 19 จุด และ Wi-Fi เข้ามาในตัวแล้ว
ด้านหลังกล้องยังใช้หน้าจอขนาด 3″ ความละเอียดเท่าเดิม เพิ่มเติมความสามารถในการสัมผัสเข้ามา ช่องมองภาพแสดงภาพมากขึ้นเป็น 98% แต่ยังกำลังขยายเท่าเดิมที่ 0.95 เท่าครับ
ฟีเจอร์ด้านถ่ายภาพอื่นๆ สามารถถ่ายรัวเต็มความละเอียดได้สูงสุด 7 ภาพต่อวินาที เร่ง ISO ได้ตั้งแต่ 100-12800 และรองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุดที่ 1080p 29.97 เฟรมต่อวินาที
ราคาเปิดตัวของ EOS 70D บอดี้อย่างเดียวเปิดมาแล้วที่ 1,199 เหรียญ (ประมาณ 37,000 บาท) เริ่มขายปลายเดือนสิงหาคมครับ
ที่มา -blognone dpreview



Google Project Glass แว่นตาแห่งโลกอนาคต



Google Project Glass แว่นตาแห่งโลกอนาคต

         หลายคนคงเคยเห็นแว่นตาที่ตัวละครในภาพยนตร์แนว Sci-Fi ทั้งหลายใส่กัน แล้วคิดว่าอยากได้มาใส่บ้างจัง แต่ในตอนนี้กำลังจะมีออกมาให้พวกเราได้ใส่กันจริง ๆ แล้ว! กับแว่นตาจากกูเกิลที่ทำหน้าที่เสมือนเหมือนเป็นหน้าจอของสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ โดยกูเกิลได้ปล่อยรุ่นต้นแบบออกมาแล้วในราคา $1,500 (ประมาณ 4,500 บาท) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

Google Project Glass แว่นตาแห่งโลกอนาคต

Windows 8 วินโดวส์ตัวล่าสุด


Windows 8 วินโดวส์ตัวล่าสุด มาพร้อมหน้าตาแปลกใหม่


          ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดจากไมโครซอฟท์ถัดจาก Windows 7 ที่มาพร้อมกับความแปลกใหม่ด้านอินเทอร์เฟซที่สนับสนุนการใช้งานแบบทัชสกรีนมากขึ้น โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดคือ Start Screen นั่นเอง และถึงแม้จะมีผู้ใช้หลายคนที่ไม่ชอบและไม่ชินกับอินเทอร์เฟซแบบใหม่นี้ แต่ก็มีผู้ที่ใช้แล้วสามารถพูดว่า "มันแจ่มมาก" เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน


Windows 8 วินโดวส์ตัวล่าสุด มาพร้อมหน้าตาแปลกใหม่


 Windows Phone 8 สำหรับสมาร์ทโฟสของสาวกวินโดวส์


          ระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟนจากไมโครซอฟท์ที่มีอินเทอร์เฟซแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ซึ่งไม่มีไอคอนแอพฯ วางเรียงกันเป็นแถวอย่าง iOS หรือแอนดรอยด์ แต่เป็น "Live Tiles" ที่มีลักษณะเป็นการนำแอพฯ ต่าง ๆ มาวางเรียงกันเหมือนแผ่นกระเบื้อง ที่สามารถแสดงข้อมูลอัพเดทต่าง ๆ ของแต่ละแอพฯ ได้ เช่นเดียวกับ Windows 8 ที่ทำให้ไอคอนเป็นได้มากกว่าไอคอนธรรมดา ๆ นั่นเอง


Windows Phone 8 สำหรับสมาร์ทโฟสของสาวกวินโดวส์

แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เทคโนโลยีใหม่ของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม


แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เทคโนโลยีใหม่ของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม



“ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม” คำๆ นี้อาจสร้างความเครียดและความกังวลให้ไม่น้อยสำหรับคุณหรือคนใกล้ตัวที่แพทย์แนะนำให้เข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ หลายๆ คนอาจกลัวความเจ็บปวด กลัวผลแทรกซ้อนจากการผ่าตัด กลัวว่าจะไม่สามารถกลับมาเดินหรือใช้ชีวิตแบบเดิมได้ อย่าเพิ่งกังวลกันไปครับ เพราะในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงมีเทคนิคช่วยควบคุมความเจ็บปวด เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีดังเดิมได้
 
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมเป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมทั้งข้อเข่าเสื่อมหรือข้อสะโพกเสื่อม ที่แพทย์จะแนะนำเมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย รับประทานยา แล้วอาการเจ็บปวดยังไม่ดีขึ้นและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน ไม่มีความสุข
 
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมสามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมและการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม โดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบ่งออกเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมบางส่วนและการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมทั้งข้อ ซึ่งในอดีตการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบบางส่วนจะทำได้ยากกว่าการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งข้อ ต้องใช้ความเชี่ยวชาญของแพทย์สูง เนื่องจากจะต้องวางข้อเทียมในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อให้กลมกลืนกับข้อเดิม หากผิดพลาดก็อาจส่งผลต่อระยะเวลาการใช้งานของข้อเทียม ทำให้อายุการใช้งานของข้อสั้นกว่าที่ควรจะเป็น และผู้ป่วยอาจต้องได้รับการผ่าตัดซ้ำ ซึ่งการผ่าตัดในครั้งต่อๆ ไปอาจทำได้ยากกว่าและไม่ได้ผลดีเท่ากับการผ่าตัดครั้งแรก
 
ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบันจึงมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคข้อเสื่อม นั่นก็คือ การใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Arm Assisted Joint Replacement Surgery) ซึ่งประกอบด้วย แขนกลหุ่นยนต์ กล้องจับสัญญาณภาพ 3 มิติ และเครื่องประมวลผลที่คอยควบคุมการทำงานทั้งหมดให้สอดคล้องกัน ทำให้สามารถวางแผนก่อนการรักษาได้อย่างละเอียด ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำ เที่ยงตรง และลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากการผ่าตัด
 
อย่างไรก็ดี การใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดไม่ได้หมายความถึงการทำหน้าที่แทนแพทย์ แพทย์ยังคงมีบทบาทสำคัญตลอดกระบวนการรักษาเช่นเดียวกับการผ่าตัดปกติ โดยแพทย์จะเป็นผู้วางแผนกำหนดขนาด องศา และตำแหน่งของข้อเทียมผ่านระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ก่อนผ่าตัด แล้วส่งข้อมูลไปยังแขนกลหุ่นยนต์ จากนั้นแพทย์จึงทำการผ่าตัดเปิดแผล กรอกระดูก และวางข้อเทียม โดยมีแขนหุ่นยนต์เป็นตัวช่วยควบคุมให้แพทย์สามารถกรอกระดูกเสื่อมเฉพาะที่ต้องการออก และช่วยให้แพทย์สามารถนำข้อเทียมไปใส่ตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ
 
ด้วยประสิทธิภาพการทำงานของแขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดร่วมกับความเชี่ยวชาญของแพทย์จึงมีข้อดีเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดแบบเดิม คือ เส้นเอ็นและเนื้อเยื่อต่างๆ บริเวณรอบเข่าหรือสะโพกที่ยังมีสภาพดีจะไม่บอบช้ำจากการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว สามารถเริ่มเดินได้เองภายใน 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บน้อยกว่า รวมถึงข้อเทียมจะมีอายุการใช้งานยืนยาวอย่างที่ควรจะเป็น  
 
สำหรับผู้ป่วยที่กังวลเรื่องอาการข้างเคียงจากการได้รับยาระงับความรู้สึก ในปัจจุบันนี้จะใช้วิธีการฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังหรือที่รู้จักกันดีว่าบล็อกหลังโดยไม่ใช้มอร์ฟีน เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการใช้ยาสลบ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
 
จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าช่วยให้การผ่าตัดไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ แม้เทคโนโลยีจะช่วยรักษาข้อที่เสื่อมได้ แต่ก็ควรเป็นทางเลือกท้ายๆ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ การดูแลข้อของตัวเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ เพื่อให้ข้อของเราสามารถใช้งานและอยู่กับเราไปได้นานๆ
 
 
เรียบเรียงโดย นายแพทย์สิริพงศ์ รัตนไชย ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อเสื่อมและการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม ผู้อำนวยการศูนย์ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ปรับแต่งตัวคุณซีพียูเพื่อเพิ่มความเร็ว

ปรับแต่งตัวคุณซีพียูเพื่อเพิ่มความเร็ว
การที่จะทำให้ความเร็วซีพียูของเราวิ่งเร็วเดิมตอนที่เราซื้อออกมาจากร้านนั้น ก็มีวิธีโอเวอร์คล็อกหลากหลายวิธีซึ่งต้องอาศัยความรู้ในเชิงเทคนิคที่สูงระดับหนึ่ง แต่วิธีที่ผมจะนำเสนอก็เป็นวิธีที่ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น
ก่อนอื่นก็ต้องตรวจสอบก่อนครับว่า ซีพียูที่คุณใช้งานอยู่นั้น เป็นซีพียูจากค่ายไหน นั่นก็เพราะซีพียูทุกตัวต่างก็มีตัวคูณอยู่ในตัวเองเหมือนกันหมด ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อย อย่างซีพียูจากค่าย intel ที่เน้นความปลอดภัย และอายุการใช้งานของซีพียูจะล็อกการปรับค่านี้ไว้ เมื่อเกิดความร้อนสูงเกินไปซีพียูจะหยุดการทำงานจนกว่าความร้อนจะกลับมาเท่าเดิม เพื่อป้องกันความเสียหายครับ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า ซีพียูมีปัญหาแฮงก์บ่อยนั่นเอง ด้วยระบบความปลอดภัยนี้อาจยากสำหรับมือใหม่ ดังนั้นในตัวอย่างนี้ผมขอเลือกใช้ซีพียูจากค่าย AMD เพราะง่ายต่อการปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ

1. อย่างแรกเลยก็คือการเข้าไปสู่เมนูที่อยู่ในไบออส (Bios) ที่จะเข้าไปปรับตัวคูณ ซึ่งเมื่อคุณเปิดเครื่องมาก็ให้กดปุ่ม Del ติดๆ กัน (ในเมนบอร์ดบางรุ่นใช้ปุ่ม F1) แค่นี้ก็จะเข้าสู่ไบออสแล้วละ



2. นี่แหละครับหน้าจอไบออสที่เก็บรายละเอียดในการตั้งค่าต่างๆ ของเครื่องเอาไว้ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่เมนูในการโอเวอร์คล็อกเท่านั้น เนื่องจากเมนบอร์ดที่ผมใช้เป็นยี่ห้อ Abit ซึ่งมีเมนูสำหรับโอเวอร์คล็อกอยู่แล้วชื่อ SoftMenu Setup เราก็เข้าไปในเมนูนั้นกันเลยครับ ถ้าเป็นเมนบอร์ดยี่ห้ออื่น ๆ ก็จะมีชื่อต่างกันไปครับเช่น Frequency/Voltage Control หรือเมนูอื่น ๆ ที่ชื่อบ่งบอกว่า สามารถปรับแต่งค่าได้



3. เมื่อ Enter เข้ามาในเมนูแล้ว เราจะเห็นได้ว่ามีเมนูต่างๆ ที่เกี่ยงกับการปรับแต่งค่าต่างๆ มากมายจน มึน ไปหมด แต่เมนูที่เราจะสนใจก็มีชื่อว่า Mulitplier Factor ซึ่งตรงนี้จะเก็บค่าตัวคูณเอาไว้ครับ


4. ตอนแรกจะปรับตัวคูณนี้ไม้ได้ ให้ไปเปิดฟังก์ชันที่จะช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ในการโอเวอร์คล็อกได้ ที่เมนู CPU Operating Speed ครับแล้วเลือก User Define ครับ แค่นี้ก็ไปปรับแต่งกันได้แล้ว



5. เมื่อเราเปิดการทำงานแล้วไบออสก็จะอนุญาตให้เราปรับแต่งตัวในเมนู Multiplier Factor จะพบว่าซีพียูที่ผลใช้นั้นมีตัวคูณอยู่ที่ 11x(1,463เมกะเฮิรตซ์) ดังนั้นผมก็จะปรับขึ้นไปอีกซักนิดเป็น 14x(1,862เมกะเฮิรตซ์)
ข้อควรระวัง:
• ควรเพิ่มทีละระดับ และไม่ควรเพิ่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ซีพียูเสียหายได้
• เมื่อจะโอเวอร์คล็อกอุปกรณ์ทุกชนิดควรหาอุปกรณ์ระบายความร้อนอย่างพัดลมเพิ่มด้วย


6. เมื่อปรับแต่งตัวคูณได้ความต้องการแล้ว ก็ต้องออกจากไบออสเพื่อจะให้เราไปใช้งานกับความเร็วที่ปรับเปลี่ยนเอาไว้โดยกดที่ F10 หรือ Save & Exit ก็ได้จะมีเมนูให้เซฟค่าที่เราตั้งไว้ เราก็ทำการเลือก Y และเครื่องก็จะรีบูตตัวเองในทันทีครับ



7. เมื่อเครื่องบูตเอาระบบมาจะเห็นได้ว่าความเร็วของ CPU เปลี่ยนไปแล้วครับจาก 1,463 เมกะเฮิรตซ์ กลับกลายเป็น 1,866 เมกะเฮิรตซ์ แล้วครับ ง่ายใช่ไหมละ


เทคโนโลยีใหม่อินเทลกินไฟตํ่า


เทคโนโลยีใหม่อินเทลกินไฟตํ่า


ซิลเวอร์มอนท์ รองรับการทำงานของอุปกรณ์ ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงดาต้าเซ็นเตอร์  กินไฟต่ำ ขยายได้มากถึง 8 คอร์ ทำให้แท็บเล็ตประมวลผลได้สูงกว่ารุ่นเดิมถึง 2 เท่า 
อินเทล คอร์ปอเรชั่น เปิดตัวเทคโนโลยี “ซิลเวอร์มอนท์” (Silvermont) ซึ่งเป็นไมโครอาร์จิเทคเจอร์รุ่นใหม่ล่าสุด มีประสิทธิภาพสูง เน้นการสนองตอบต่อระบบการทำ งานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องการใช้พลังงานต่ำ ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงดาต้าเซ็นเตอร์ ซิลเวอร์มอนท์ จะเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน สำหรับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่จะเริ่มออกสู่ตลาดภายในปลายปีนี้ โดยใช้ขั้นตอนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของอินเทลอย่าง Tri-Gate SoC แบบ 22 นาโนเมตร (nm) ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
นายดาดี เพิร์ลมัตเตอร์ รองประธานบริหารและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของอินเทล กล่าวว่า  ซิลเวอร์มอนท์ คือ รากฐานใหม่ทางเทคโนโลยีสำหรับอนาคต ที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผลิตภัณฑ์และตลาดในเซ็กเมนต์ต่าง ๆ ได้ ในอนาคต จะพยายามพัฒนาไมโครอาร์จิเทคเจอร์ชนิดกินไฟต่ำ รุ่นใหม่ ๆ ออกมาทุกปีจุดเด่น อื่น ๆ ของไมโครอาร์จิเทคเจอร์ ซิลเวอร์มอนท์ นอกจากกินไฟต่ำแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของอุปกรณ์อีกด้วยโครงสร้างมัลติคอร์และซิสเต็มส์แฟบริก รุ่นใหม่ช่วยให้ขยายได้มากถึง 8 คอร์  สำหรับระบบที่ต้องการแบนด์วิธที่มากกว่าเดิม ทำให้แท็บเล็ตรุ่นใหม่จะมีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตรุ่นปัจจุบันของอินเทล.

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

TriNet 3

TriNet 3 โครงข่ายอัจฉริยะ

เชื่อมทุกเสี้ยวความรู้สึกในเสี้ยววินาที


วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะก้าวไปอีกขั้นสู่มิติใหม่แห่งเครือข่ายอัจฉริยะ...

โครงข่ายอัจฉริยะ รายเดียวในประเทศที่ให้คุณได้ใช้บริการบนคลื่นความถี่มากที่สุดถึง 3 คลื่น รวมเป็นแบนด์วิธที่กว้างที่สุด เปรียบเสมือนเลนบนถนน เครือข่ายที่ยิ่งกว้างยิ่งทำให้มีพื้นที่รองรับการใช้งานเพิ่มมากขึ้น

 
 

คืออะไร?

จากดีแทค ประกอบด้วย 3 คลื่นความถี่ คือ


คลื่น 1800 MHz

เป็นคลื่นพื้นฐานสำหรับการโทรศัพท์ เหมาะสำหรับการโทรออก รับสาย สัญญาณ คมชัดทุกพื้นที่ ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของโลกพร้อมใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเทคโนโลยี EDGE ทุกพื้นที่





คลื่น 850 MHz

เป็นคลื่นสำหรับการใช้งาน 3G เหมาะสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตปริมาณสูง เช่น ดูวิดีโอหรือส่งไฟล์ภาพความละเอียดสูง โดยมีลักษณะเด่น คือ ทะลุทะลวงและแผ่รัศมีเป็นวงกว้าง จึงช่วยเพิ่มความหนาแน่นของสัญญาณภายในตัวอาคาร ซึ่งปัจจุบันได้ขยายพื้นที่ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ และกำลังพัฒนาอย่างต่อเนี่อง






คลื่น 2100 MHz

เป็นคลื่นใหม่ล่าสุด ซึ่งได้วางแผนนำมาใช้งานด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มความกว้างให้กับการรับ-ส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลในพื้นที่หนาแน่น ให้เป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว และเป็นคลื่น 3G ที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนเป็น 4G รวมถึงเทคโนโลยีในอนาคตได้ทันที

 

ดีกว่า...ด้วย 3 โครงข่ายอัจฉริยะ

จากการรวมตัวกันของ 3 โครงข่าย ทำให้ ราบรื่นไม่มีสะดุด มีระบบอัจฉริยะที่พร้อมสลับคลื่นสัญญาณให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ทุกพื้นที่โดยอัตโนมัติ ดังนั้นในระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมืองก็สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีสะดุด

ชัดกว่า เร็วกว่า...ด้วยแบนด์วิธที่กว้างที่สุด

เปรียบเสมือนการมีเลนบนถนนเครือข่ายที่มากกว่า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการโทรออก รับสาย ก็ชัดกว่า รวมถึงการดาวน์โหลด อัพโหลด หรือการใช้งานอื่นๆ ก็ทำได้อย่างรวดเร็วกว่า ด้วยเทคโนโลยี Multiple Carrier HSPA+

มากกว่า...ด้วยแพ็กเกจและ device ที่หลากหลาย

ให้คุณได้มากกว่าด้วยหลากหลายแพ็กเกจตามการใช้งานที่ตอบไลฟ์สไตล์ได้ตรงใจกว่าที่เคย และให้คุณมั่นใจได้ว่าสามารถรองรับการใช้งานโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตและแอร์การ์ดครบทุกระบบ ทุกยี่ห้อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ระบบ 3G

ระบบ 3G คืออะไร


1. ระบบ 3G คืออะไร
คำตอบ เราคงเคยได้ยินคำว่า 3G มากันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่หลายคนยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าระบบ 3G ที่ได้ยินกันบ่อยๆนั้น คือ ระบบอะไร ดังนั้น ก่อนที่เราจะกล่าวถึงปัญหาของระบบ 3G ในประเทศไทย เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า ระบบ 3G หมายความว่าอย่างไร กล่าวคือ ระบบ 3G คือ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่สาม (Third Generation of Mobile Telephone – 3G) ซึ่งมี สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU (International Telecommunication Union) ซึ่งเป็นองค์กรชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำตลอดจนวางหลักเกณฑ์ในบริหาร และการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้กับประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิกทั่วโลก โดยมีแนวทางในการวางหลักเกณฑ์ทางการบริหารทรัพยากรด้านโทรคมนาคมของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน
ทั้งนี้ 3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่มากในด้านความรวดเร็วและคุณภาพของข้อมูลที่ทำการส่ง โดยการพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการแบบมัลติมีเดีย และส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น ทำให้มีการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลตลอดจนแอพพลิเคชั่นต่างๆดีขึ้น รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้บริการมัลติมีเดียได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยผ่านอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และเทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ และ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น


2. ระบบ 1G 2G 3G คืออะไร คำตอบ Gย่อมาจากGeneration 1G-ระบบAnalog 2G-ระบบDigital
3G-ระบบWireless
1G เริ่มตั้งแต่ 1G … ซึ่งเป็นยุคที่ใช้ระบบ Analog คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆทั้งสิ้นซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถใช้งานทางด้าน Voice ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้น ไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน Data ใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ยังทำไม่ได้ในยุค 1G แต่จริงๆแล้ว … ในยุคนั้น ผู้บริโภคก็ยังไม่มีความต้องการในการใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (Voice) อยู่แล้ว โดยปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก และจะพบว่าผู้ใช้มักจะเป็นนักธุรกิจที่มีรายได้สูงเสียส่วนใหญ่
2G หลังจากนั้น ก็ได้พัฒนาต่อมาเป็นยุค 2G … ซึ่งเปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบ Analog มาเป็นการเข้ารหัส Digital ส่งทางคลื่น Microwave ซึ่งในยุคนี้เอง เป็นยุคที่เริ่มทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน Data ได้ นอกเหนือจากการใช้งาน Voice เพียงอย่างเดียว ในยุค 2G นี้ … เราสามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่เรียกว่า cell site
และก่อให้เกิดระบบ GSM (Global System for Mobilization) ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Roaming ยุค 2G นี้ ถือเป็นยุคเริ่มต้นแห่งการเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือเลย … ราคาของโทรศัพท์มือถือเริ่มต่ำลง (กว่ายุค 1G) ทำให้ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น ซึ่งการส่งข้อมูลของยุค 2G นี้ เป็นยุคที่มีการเริ่มฮิต Download Ringtone , Wallpaper , Graphic ต่างๆ แต่ก็จะจำกัดอยู่ที่การ Downlaod Ringtone แบบ Monotone และ ภาพ Graphic ต่างๆก็เป็นเพียงแค่ภาพขาว-ดำที่มีความละเอียดต่ำเท่านั้น
2.5G หลังจากนั้น ก็เป็นยุคก้ำกึ่งระหว่าง 2G และ 3G … ซึ่งก็คือ 2.5G ซึ่ง 2.5G นี้ เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) นั่นเอง ซึ่งตามหลักการแล้ว … เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps เลยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น
2.75G เพิ่มนิดนึง … ก่อนจะมาถึงยุค 3G เราก็ยังมี 2.75G ด้วย ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) นั่นเอง EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) ลักษณะการทำงานของ EDGE นั้นจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้น **แต่ว่า ยุค 2.75G ของ EDGE นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการ เพียงแค่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 2.5G และ 3G เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นอ่ะ**
3G ต่อมา … ก็ได้พัฒนามาเป็นระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น … เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง
ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การรับ-ส่ง File ที่มีขนาดใหญ่ , การใช้บริการ Video/Call Conference , Download เพลง , ดู TV Streaming ต่างๆ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว … 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเยอะเลย
คุณสมบัติหลักที่เด่นๆ อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always On … คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดโทรศัพท์ด้วย 3. 3G กับ 3.9G แตกต่างกันตรงไหน ตอนนี้ในไทยมี3G แท้ กับ 3G เทียมครับ 3G แท้ คือ เครือข่ายที่ให้สัญญาณ สามจี จริงๆ เช่น i-mobile 3GX หรือ TOT 3G บนคลื่นความถี่ WCDMA หรือ UMTS 2100 MHz และ ยังมีระบบ CAT CDMA บนเทคโนโลยี CDMA2000 1x EV-DO
3G เทียม ก็คือ การแปลงสัญญาณ GSM ให้เป็น 3G อย่างที่ AIS / True / Dtac กำลังทดลองให้บริการกันอยู่ AIS ก็วิ่งบนคลื่น 900 MHzอยู่ครับ Dtac กับ truemove 850MHz ถ้าใบอนุญาตออกจะวิ่งที่ 2100 MHz
4. ประโยชน์ของ3G มีอย่างไรบ้าง คำตอบ ดูคลิปพวกนี้อาจจะทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นนะคะ 3Gแพทย์ชนบท http://youtu.be/xJ86uU0zbZc?hd=1 3Gอนาคตของคนไทย http://youtu.be/gIg4bI7SL6M?hd=1 3Gกล้วยไม้ http://youtu.be/tqsQ_0oGics?hd=1” 3Gkas1 http://bit.ly/mEgT8C 3Gsme http://bit.ly/l72hWK 3Gtape2ดร.เสรี http://bit.ly/mvrOS7 3Gเพื่อยกระดับการศึกษา http://bit.ly/m1MHE1 3Gเพื่อวิทยาการทางแพทย์ http://bit.ly/m1MHE1
5. เอส แอล คอนซอร์เตี้ยมคืออะไร ประชาชนจะได้ใช้ 3.9G เมื่อไหร่ และใครจะเป็นคนสร้างโครงข่ายนี้ คำตอบ จากกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ ทีโอที
วันจันทร์ ที่ 9 พฤษภาคม 2554 ที่สำนักงานใหญ่ ทีโอที แจ้งวัฒนะ นายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที และกลุ่มเอสแอล คอนซอเตียม โดยนายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทสามารถคอปอร์เรชั่น จำกัด และนายวสันต์ จาติกวณิช กรรมการบริหาร บริษัทล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในสัญญาจ้างโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 โดยมีนายกำธร ไวทยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ บมจ.ทีโอที และนางศริญญา ไชยประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักพัสดุและกฏหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ลงนามในฐานะพยาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 3 หน่วยงานร่วมแสดงความยินดี ซึ่งโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะเป็นการสนับสนุนนโยบายบรอดแบรนด์แห่งชาติของรัฐบาลในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชาชนคนไทย ได้อย่างทั่วถึง และเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ ทีโอที ในการดำเนินธุรกิจด้วยตนเองแทนการพึ่งพารายได้จากสัมปทาน ทีโอที กล่าวว่า “โครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่3G จะเป็นการสนับสนุนนโยบายบรอดแบรนด์แห่งชาติของรัฐบาลและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ และแผนแม่บท ICT ฉบับที่ 2 (2552-2556) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทุกที่ทั่วประเทศ ช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตต่อประชากรให้สูงขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิตพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศทั้งในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ การแพทย์ และสาธารณสุข และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งพนักงาน ทีโอที ทุกคนต่างให้การสนับสนุนเนื่องจากจะทำให้ ทีโอที สามารถดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง ทดแทนการพึ่งพารายได้จากสัมปทาน และทำให้ ทีโอที สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ทั้งนี้ การลงนามครั้งนี้ เป็นการลงนามจ้างกลุ่มเอสแอล คอนซอเตียมของบริษัท สามารถ คอมมิวนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ ไวร์เลส จำกัด สำหรับงานจ้างโครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G มูลค่า 15,999.50 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย – การสร้างระบบโครงข่ายหลัก (Core Network) จำนวน 1 ระบบ – ระบบสถานีฐาน (UTRAN) จำนวน 4,772 แห่ง – ระบบสื่อสัญญาณ (Transport Network)
- ระบบบริการจัดการโครงข่าย (OSS) จำนวน 1 ระบบ – ระบบบริการเสริมพื้นฐาน (VAS) จำนวน 1 ระบบ – ระบบสนับสนุนการให้บริการ (Business Support System) จำนวน 1 ระบบ – รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์และการจัดเตรียมสถานที่ (Site Preparation) และ อุปกรณ์สนับสนุนและบำรุงรักษาโครงข่าย3G ทีโอที จะดำเนินการติดตั้งสถานีฐานทั่วประเทศจำนวน 5,320 แห่ง ครอบคลุม 57 จังหวัด โดยจะเป็นการสร้างสถานีฐานใหม่จำนวน 4,772 สถานี และย้ายสถานีฐานเดิม จากใจกลางกรุงเทพฯไปติดตั้งในปริมณฑลกรุงเทพฯแทนจำนวน 548 สถานี ซึ่งหลังจากที่ได้ลงนามในสัญญาแล้ว คาดว่าประมาณกลางไตรมาสที่4 ของปี 2554 ประชาชนคนไทยจะได้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G เต็มรูปแบบในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 13 จังหวัดหลัก หลังจากนั้นภายในกลางปี 2555 จะสามารถใช้งานได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
นายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะแบ่งเป็น 3 ระยะ ซึ่งหลังจากที่มีการลงนามเซ็นสัญญาว่าจ้างกลุ่มเอสแอลคอนซอเตียม แล้ว คาดว่าจะสามารถติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้บริการแล้วเสร็จในพื้นที่สำคัญ ซึ่งมีประชากรหนาแน่น โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ – เฟส 1 คือ กทม. ทุกพื้นที่และรวมปริมณฑล 4 จังหวัด คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายใน 180 วัน – เฟส 2 คือ 13 จังหวัดเศรษฐกิจ เช่น ชลบุรี ระยอง สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และหนองคาย เป็นต้น โดยจะสามารถเริ่มให้บริการได้ภายใน 90 วัน – และเฟสสุดท้าย จะขยายไปยังทุกจังหวัดในประเทศเพื่อให้ครอบคลุมต่อจำนวนประชากร 70% ภายใน 360 วัน โดย ทีโอที จะพิจารณาจากพื้นที่ที่มีความต้องการสูง นายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที กล่าวตอนท้ายว่า ปัจจุบัน ทีโอที มีลูกค้าผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ TOT 3G ประมาณ 200,000 เลขหมาย โดยตั้งเป้าหมายปี 2554 จะมีลูกค้า ประมาณ 1.3 ล้านเลขหมาย และเพิ่มเป็น 7 ล้านเลขหมายในปี 2558 มีส่วนแบ่งตลาดไม่น้อยกว่า 8 % โดยแผนการตลาด ทีโอที จะขายผ่าน MVNO (Mobile Virtual Network Operator) เป็นหลัก และจะทำตลาดเองบางส่วนโดยทำตลาด convergence ร่วมกับผลิตภัณฑ์ในเครือของ ทีโอที เช่น ADSL หรือ โทรศัพท์ประจำที่สำหรับการจัดสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ทั่วประเทศ มูลค่า 19,980 ล้านบาท แบ่งเป็น การประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้าง มูลค่า 17,440 ล้านบาท งบสำรองโครงการมูลค่า 540 ล้านบาท และการปรับปรุงโครงข่ายเดิมของ เอซีทีโมบายจาก 2G เป็น 3G มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยโครงสร้างการลงทุนมาจากแหล่งเงินทุนของ ทีโอที ในสัดส่วนร้อยละ 20 และเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงินร้อยละ 80 จากกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารยูโอบี ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อเสนอทางการเงินที่เป็นประโยชน์ต่อ ทีโอที สูงสุด กล่าวคือ ให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำที่สุด และระยะเวลาชำระคืนเงินกู้นาน รวมทั้งมีเงื่อนไขที่ดีที่สุด ทั้งนี้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ภายใต้แบรนด์ “TOT 3G” บนคลื่น 2,100 MHz. ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล ของ International Mobile Telecommunications 2000 , IMT-2000 ภายใต้กลุ่มของ International Telecommunication Union (ITU) ด้วยความเร็วสูง 14.4 Mbps (download)
6. ระบบ 3G เกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบ ซึ่งหาอ่านได้ในกูเกิ้ล มีดังนี้ครับ รู้ไว้ใช่ว่า 3G ในประเทศไทย ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า 3G ในไทย ณ ตอนนี้นั้นเป็น 3G ที่ใช้ย่านความถี่โดยแบ่งดังนี้ AIS ใช้ 900, Dtac และ True ใช้ 850 ส่วน TOT นั้นใช้ 2100 ทำให้มีปัญหาในเรื่องเครื่องที่รองรับ เพราะไม่ใช่ทุกเครื่องจะรองรับ 3G ทุกแบนด์ได้มันเลยเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อไรทุกเครือข่ายใช้งาน 3G บน 2100 Mhz ซึ่งเป็นย่านมาตราฐาน 3G ทั่วโลกแล้ว ทุกเครื่องที่เขียนว่ารองรับ 3G จะใช้งานได้ครับ แต่ปัญหาคือ ย่านดังกล่าว ในประเทศเรายังไม่มีใครได้รับสัมปทาน
อนาคต 3G ในประเทศไทย เพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆ กับ 3G ของ AIS อย่าง AIS 3G ที่ได้เปิดให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือระบบ 3G ความถี่ 900 MHz และขยายพื้นที่บริการ 3G ทั่วกรุงเทพชั้นใน และอีก 7 จังหวัดจากทุกภาคของประเทศไทย ได้แก่ เชียงใหม่ นครราชสีมา ชลบุรี ภูเก็ต สงขลา ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน , ปราณบุรี) และเพชรบุรี (ชะอำ) AIS โดยผู้ที่ใช้ซิมของ ค่าย AIS อย่าง GSM Advance และ 1-2-call สามารถสมัครใช้บริการอินเตอร์เน็ต edge+ และ 3G ได้ โดยแนะนำให้ท่านสมัครแพ็คเกจอินเตอร์เน็ตแบบคิดปริมาณการใช้งาน ถึงจะได้ความเร็ว 3G ระดับ Mbps โดยความเร็ว 3G สูงสุดระดับ HSPA+ ที่ 21 Mbps เพราะถ้าสมัครแบบรายชั่วโมงเหมือนเดิมก็จะได้ความเร็ว 3G สูงสุดที่ 384Kbps เท่านั้น และด้วยโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ในท้องตลาด จะรองรับ 3G ความถี่ 900MHz และ 2100MHz ดังนั้นผู้ที่เคยซื้อมือถือเก่าที่รองรับ 3G แต่ไม่ได้ใช้ 3G เลย ก็นำลองมาใช้อีกครั้ง เพราะครั้งนี้คุณจะได้ท่องโลกอินเตอร์เน็ตได้สมบูรณ์มากขึ้น หากมีกล้องหน้าก็สามารถ video calling ได้ด้วย บนมือถือเครื่องเก่าที่คุณเคยซื้อไป
DTAC ให้บริการ 3G ย่านความถี่ 850 MHz โดยก่อนหน้านี้มีการทดสอบ3G ของ dtac เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2552 ก่อนที่สิ้นสุดการทดสอบเมื่อ 8 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมานี้เอง เปิดบริการ 3G เชิงพาณิชย์กลางเดือนสิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพมหานครด้วยสถานีฐาน 1,220 แห่ง dtac กล่าวว่าด้วยช่องสัญญาณขนาด 10MHz ทำให้ระบบ 3G ของ dtac สามารถรองรับความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงสุดถึง 42 Mbps ลูกค้าปัจจุบันที่ใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตแบบไม่จำกัดสามารถใช้ dtac 3G ได้ทันที ส่วนลูกค้าแบบอื่นสามารถเปิดใช้บริการได้โดยกด *3000# และโทรออก เบื้องต้นเริ่มมีการทดสอบเครือข่ายอีกครั้ง เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 จนถึงวันนี้ (26 ส.ค.)
ทางฝั่ง Truemove และ Truemove H ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือระบบ 3G ความถี่ 850 MHz ก็ยังคงที่เหมือนเดิมสำหรับพื้นที่บริการ 3G ที่ครอบคลุมทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ตบริเวณ สนามบินนานาชาติ และ หาดป่าตอง และ ประจวบคีรีขันธ์ (บริเวณหัวหิน) โดย truemove อยู่ในระหว่างปรับปรุงระบบสัญญาณเครือข่ายอยู่ จนถึงปลายเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะให้บริการ 3G แบบ HSPA+ ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 21Mbps สำหรับสมาชิกเครือข่าย truemove H สำหรับการสมัครเพื่อใช้ 3G นั้นยังคงเป็นแบบทดลองใช้ โดยต้องซื้อแพ็กเกจชั่วโมงอินเตอร์เน็ตแบบ EDGE จะแถมชั่วโมง wi-fi และ 3G นี้ให้ ส่วนใครอยากใช้ 3G unlimited ตอนนี้บริการเฉพาะลูกค้ารายเดือนที่ใช้ iPhone และ iPad รุ่น 3G จะมีแพคเกจ Unlimited ให้สมัครด้วย โดยสามารถเล่น 3G ได้ไม่จำกัดปริมาณข้อมูล แต่มีเงื่อนไขคือได้ความเร็วเต็มที่ 7.2 Mbps ใน 3GB แรก หลังจากใช้เกิน 3GB ไปแล้ว ความเร็ว 3G จะเหลือแค่ 256Kbps ทันที ต่อเดือน
ผู้ให้บริการ 3G ความถี่ 2100 MHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สากลที่มือถือแทบทุกเครื่องรองรับ เปิดบริการตั้งแต่ 3 ธันวาคม 2552 มาปีนี้ TOT จัดงานแสดงบริการ 3G ชื่อว่า Turn IT On ณ สยามพารากอน เมื่อวันที่ 10-11 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมประกาศเตรียมเปิดให้บริการ 3G ความถี่ 2100 MHz แบบความเร็วสูงสุดระดับ HSPA+ ถึง 42 Mbps (เร็วกว่าอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แบบ 6 MB ถึง 7 เท่า ) และขยายพื้นที่จาก 6 จังหวัดเป็น 18 จังหวัดจากทั่วทุกภาค ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ลำปาง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และ สงขลา โดยทาง TOT3G ประกาศตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการ 3G ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ภายในเดือนพฤษภาคมปี 2555
แม้ว่าทุกค่ายจะพร้อมให้บริการ 3G แก่ประชาชนทั่วไปได้ใช้บริการแล้ว และทุกค่ายก็ใช้ 3G ระดับ HSPA+ (3.9G) ด้วย แต่อย่าลืมว่าต้องเลือกค่ายที่ตรงกับคุณสมบัติมือถือ aircard หรือ tablet ของท่านเองด้วย เพราะอุปกรณ์แต่ละชิ้นก็รองรับ 3G บนคลื่นความถี่ที่แตกต่างกันไปในขณะที่แต่ละค่ายก็ใช้ความถี่ในการให้บริการ 3G ที่แตกต่างกันไปเช่นกัน ดังนั้นควรศึกษาสเปคของเครื่องให้ดีก่อนว่ารองรับ 3G หรือไม่ และเป็น 3G คลื่นความถี่ใด เพื่อให้ใช้คุณสมบัติด้าน Mobile Internet บนมือถือได้อย่างเต็มที่
7. ระบบ3.9G จะเปิดใช้ได้ทั่วประเทศเมื่อไหร่ คำตอบ ทีโอทีเปิดให้บริการ 3 จี ระบบ 3.9 จี อย่างเป็นทางการรายแรกของไทย โดยมั่นใจว่าจะให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท นายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะกรรมการบริหาร เปิดตัวบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ TOT 3G. ด้วยระบบ3.9 จี รายแรกของประเทศ และเป็นลำดับที่ 24 ของโลก เพื่อให้รองรับการสื่อสารที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นและถือเป็นการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของประเทศ ตามแผนแม่บท ICT ฉบับที่2(2552-2556)
โดย TOT 3G. ระบบ 3.9จี นี้ ทีโอทีเลือกใช้เทคโนโลยี HSPA( เอชเอสพีเอ) พลัส ด้วยคลื่น 2100เมกะเฮิร์ต มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลถึง 42 เมกะบิตต่อวินาทีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณทล
ส่วนในพื้นที่เขตภูมิภาคจะมีความเร็วที่ 21 เมกะบิตต่อวินาที เร็วกว่าระบบ 3จี ที่การรับส่งข้อมูลมีความเร็วเพียง 7 เมกะบิตต่อวินาที นอกจากนี้ยังสามารถรับส่งข้อมูลได้พร้อมกัน ในลักษณะ Triple. Play. คือใช้งานได้ทั้งโทรศัพท์อินเทอร์เน็ต และรับส่งข้อมูลได้ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งระบบติดตั้งโครงข่ายในกรุงเทพมหานครและปริมณทล 18 จังหวัด จะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะครอบคลุมทั่วประเทศในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการคัดเลือกตัวแทนผู้ขายส่ง หรือขายต่อบริการระบบ 3จี หรือเอ็นวีเอ็นโอ จำนวน 7 ล้านเลขหมายนั้น เบื้องต้นมีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทุกรายในตลาดให้ความสนใจ และมั่นใจว่าผู้ประกอบการรายใหม่ จะไม่ขัดแย้งกับผู้ให้บริการรายเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยคาดว่าการคัดเลือกตัวแทนจำหน่าย จะแล้วเสร็จภายในปลายเดือนนี้ถึงกลางเดือนหน้า และเมื่อตัวแทนจำหน่ายใหม่ เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าจะทำให้ทีโอที มีรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ที่ปีละ10,000ล้านบาทได้ และมีระยะคืนทุนในช่วง 5 – 8ปีต่อจากนี้
8. ระบบ 3G ของทีโอที ดีกว่าของเอไอเอส ดีแทค ทรู อย่างไร คำตอบมีดังนี้ครับ ผมได้คัดลอกการให้ข่าวของกรรมการผู้จัดการใหญ่ของทีโอทีซึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ตามวันเวลา และฉบับดังที่เห็นข้างล่างนี้ หากท่านยังไม่แน่ใจให้เข้าไปดูในอินเตอร์เนตได้เลยนะครับ ทีโอที ไม่หวั่น 3G เอกชน ยันมีของดีกว่าxml:namespace prefix = o ns = “urn:schemas-microsoft-com:office:office” />
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กันยายน 2554 19:49น.
ทีโอที ไม่สนเอกชนเปิด 3G คุยความถี่ 2.1GHz คลื่นสากล ดีกว่าเยอะ จ่อเปิดบริการ 18 จังหวัด ภายในเดือนพ.ย.นี้ และพร้อมให้บริการทั่วประเทศเดือนพ.ค.55 เล็ง 4 ธุรกิจ ปะรูรั่วหลังหมดรายได้สัมปทานในอีก 2 ปีข้างหน้า
นายอานนท์ ทับเที่ยง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินการให้บริการระบบ 3G ของทีโอทีถือว่าไม่ได้ล้าช้าอย่างที่ใครหลายคนคิด ถึงแม้ว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเอกชนจะเปิดให้บริการ 3G แล้วก็ตาม แต่เป็นลักษณะของการอัพเกรดบนคลื่นความถี่เดิมที่มีอยู่ ทางทีโอทีไม่รู้สึกหวั่นเกรงแต่อย่างใด เพราะบริการ 3G ของทีโอทีนั้นเป็นคลื่นความถี่ย่าน 2.1GHz ที่เป็นมาตรฐานสากล สามารถรองรับกับอุปกรณ์เชื่อมต่อที่หลากหลายกว่า และสามารถรองรับข้อมูลความเร็วสูงได้ภายในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ตามแผนการขยายเครือข่าย 3G ของทีโอทีนั้น คาดว่าจะเปิดให้บริการครอบคลุมในพื้นที่ให้บริการ 18 จังหวัด
และจะครอบคลุมทั่วประเทศภายในเดือนพฤษภาคมปีหน้า ปัจจุบัน ทางทีโอทีมีผู้ใช้บริการบนเครือข่าย 3G อยู่ประมาณ 3แสนราย
แบ่งเป็นลูกค้าของทีโอทีเอง 8 หมื่นราย และลูกค้าจากการทำตลาดบริการขายต่อ บนโครงข่ายเสมือน หรือเอ็มวีเอ็นโออีก2.2 แสนราย “ทางทีโอทีไม่กลัวคู่แข่งเอกชนที่เปิดทีหลังแต่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า เพราะเครือข่าย 3G ของทีโอทีใช้คลื่นความถี่มาตรฐาน 2.1 GHz ซึ่งใช้กันทั่วโลกเป็นมาตรฐานสากลกว่า ต่างจากบริษัทเอกชนที่เปิด 3G แต่ใช้คลื่นอื่น ซึ่งจำเป็นที่ผู้ใช้จะต้องเลือกอุปกรณ์ที่รองรับคลื่นนั้นๆ ” สำหรับแผนการติดตั้งโครงสร้าง 3G ที่ “กลุ่มกิจการร่วมค้าเอสแอล คอนซอร์เตียม” ชนะการประมูลไปด้วยราคา 15,999ล้านบาทนั้น
กำลังอยู่ระหว่างการติดตั้งขยายเครือข่าย แม้ว่าช่วงแรกที่การติดตั้งเครือข่าย 3G ทีโอทีจะล่าช้าไปบ้าง แต่มั่นใจว่าการเปิดให้บริการจะเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด
ซึ่งสถานีฐานของทีโอทีตามเงื่อนไขการประมูลต้องติดตั้ง 2,320 แห่งในกรุงเทพฯ และปริมณทล และในต่างจังหวัดรวมถึงหัวเมืองใหญ่อีก 3,000 กว่าแห่ง ส่วนกรณีภายหลังปี 2556 ทางทีโอทีจะต้องโอนรายได้สัมปทานให้กับกสทช. ซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุนในส่วนของรายได้รวม
ดังนั้นทีโอทีได้มีการวางแผนรองรับกับเรื่องนี้ไว้แล้ว ใน 4 เรื่อง เพื่อจะทำให้ทีโอทีแข็งแกร่งภายหลังหมดรายได้จากสัมปทาน เรื่องแรก การมองหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาเสริม เรื่องที่สอง เดินหน้าธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบมีสาย เรื่องที่สาม ธุรกิจอินเทอร์เน็ตไร้สายหรือไว-ไฟ และเรื่องที่สี่สุดท้าย ธุรกิจการให้บริการ3G ซึ่งแผนทั้งหมดนี้จะสรุปภายในปีหน้า
ทั้งนี้ทีโอทีมีรายได้จากค่าสัมปทานประมาณ 40% หรือประมาณ 27,000 ล้านบาทจากรายได้ทั้งหมดของทีโอทีในแต่ละปี
“กรณีภายหลังสัญญาสัมปทานหมดลงทีโอทีจะขายเน็ตเวิร์กให้เอไอเอส เหมือนกับที่กสทจะขายคืนทรูมูฟหรือไม่นั้นตอนนี้คงยังตอบไม่ได้” ส่วนแผนให้บริการไว-ไฟฟรีตามพื้นที่สำคัญ อาทิ สถานที่ราชการ สถานศึกษา และสาธารณะตามนโยบายของกระทรวงไอซีทีนั้น
คาดว่าจะได้เห็นภายในเดือนตุลาคมนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นในส่วนของทีโอทีเท่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับกสทแต่อย่างใด
แต่ในตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าจะเป็นพื้นที่ไหนบ้าง
9. ทำไม “เรา” จึงจำเป็นต้องทำตั้งแต่วันนี้ ทั้งๆที่ยังใช้ได้ไม่ทั่วถึง คำตอบ – หากคุณได้รับคำถามว่า “ต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล ยังใช้ไม่ได้ ทำอย่างไรดี?” – ผมขอตอบว่าวิกฤตนี้เป็นโอกาสของเราจริงๆเลยครับ จังหวัดของเรายังไม่เปิดใช้ แต่วันนี้เรารู้ก่อนใครในจังหวัด พอเปิดตูมขึ้นมาเราก็ทำก่อนใครแล้ว ข้อมูลเราแน่นแล้ว นี่คืองานที่ทำภายใต้มติคณะรัฐมนตรี งานที่ทำภายใต้แผนแม่บทของกระทรวง ICT ฉบับที่2(2552-2556)
ที่บอกว่าจังหวัดใหญ่ๆต้องเปิด3.9Gให้ได้อย่างช้า ในเดือนพฤศจิกายน – เฉพาะในกรุงเทพฯและ 14 จังหวัดเหล่านี้ ก็มีคน มีลูกค้า มีคนร่วมทำธุรกิจไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคนแล้ว เรา ต้องการ “เครือข่าย”ภายใต้สายงานเราเพียง 1 แสนคนเท่านั้น เราก็มีรายได้เป็นล้านบาทต่อเดือนแล้ว
และถึงอย่างไรระบบนี้ก็ต้องใช้ได้ทั่วประเทศตามมติคณะรัฐมนตรี ภายในเดือนพฤษภาคมปี2555 แน่นอน
หากใช้ไม่ได้บริษัทผู้รับเหมาต้องลำบากแน่ๆเพราะจะถูกปรับ ถูกฟ้อง และไม่ได้เงินงวดสุดท้ายในการก่อสร้าง “จากรัฐบาล”
10. บริษัทที่ขายซิมการ์ดให้กับทีโอที เดิมนั้น มีบริษัทใดบ้าง คำตอบ
สำหรับผู้ให้บริการรายเดิม 5 รายได้แก่ 1.สามารถไอโมบาย 2.ไออีซี 3.ล็อกซเล่ย์ 4.เอ็มคอลเซาท์ และ5.บริษัท365 คอมมูนิเคชั่น
11. “ทีโอที” กับ “เอสเอสเอ็น” และ“เรา” มีความสัมพันธ์กันอย่างไร คำตอบ – ทีโอที แต่งตั้งให้ เอสเอสเอ็น เป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 3G ของทีโอที โดยเอส เอส เอ็น จะได้ส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายซิมการ์ด และค่าใช้บริการ หรือAIR TIME ซึ่งอยู่ในรูปของบัตรเติมเงิน หรือการหักเงินจากบัญชีธนาคารของลูกค้าแบบรายเดือน
- เอสเอสเอ็น มี “เรา” เป็นผู้ที่ “ช่วยกัน”ใช้สินค้าของทีโอที ในขณะเดียวกันก็เป็น ผู้ช่วยจำหน่ายร่วมกับเอสเอสเอ็นด้วย ซึ่งเอสเอสเอ็น ก็จะให้ส่วนแบ่งรายได้ที่ได้มาจากทีโอที มาจ่ายให้กับ “เรา” ตามระบบที่ได้กำหนดไว้
- สรุปได้ว่า ทีโอทีจ่ายเงินให้กับเอสเอสเอ็น และเอสเอสเอ็นจ่ายเงินให้กับเรา ไม่ใช่ ทีโอทีจ่ายเงินให้กับเราโดยตรง
จึงมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าทีโอทีจ่ายเงินให้เรา ซึ่งจริงๆแล้วเอสเอสเอ็นต่างหากที่จ่ายเงินให้เรา เพียงแต่เงินจำนวนนี้ “มาจากที่มาเดียวกัน” คือ จากการขายผลิตภัณฑ์ 3.9G ของทีโอที แต่ต้องอธิบายให้ถูกต้อง หรือพูดลำดับขั้นตอนให้ถูกเท่านั้นเอง
12. การออกใบอนุญาต 3G ทำอย่างไร คำตอบ
สำหรับการออกใบอนุญาตใช้สูตรN-1คือถ้ามีผู้เข้าร่วม10เจ้าก็จะมีผู้ได้ใบอนุญาต9ใบครับ ราคาค่าซอง500,00
มัดจำซอง10%ของใบอนุญาต1,280ล้านราคาใบอนุญาต12,800ล้านบาท สาเหตุที่ไม่มีคนเข้าร่วมเพราะการเมืองเป็นหลักและที่สำคัญอีกอย่างคือพรบ.ร่วมทุนของต่างชาติครับ
อย่าเพิ่งคิดว่า12,800ล้านแล้วเราจะได้ใช้น่ะครับนี่แค่ค่ากระดาษใบเดียวน่ะครับ ยังไม่รวมค่าโครงข่ายซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินอีกประมาณ50,000-60,000ล้านต่อเจ้า เห็นจำนวนเงินแล้วหนาวเฉียด100,000ล้าน การเมืองไม่นิ่ง แถมพรบ.ร่วมทุนก็ไม่ชัดเจน เลยไม่มีใครอยากลงทุน
13. เราจะได้อะไรจาก ระบบ 3G บ้าง คำตอบ – ได้ใช้โทรศัพท์อย่างสนุกสนาน มีความสุข มีประสิทธิภาพสูง
- ได้ใช้อินเตอร์เนตที่มีความเร็วมากกว่าปกติ – ประเทศได้รับประโยชน์ในแทบทุกด้าน เช่น การแพทย์ การศึกษา การคมนาคม การเกษตร การทหาร การรักษาความปลอดภัย ความมั่นคงของชาติ – และเรายังได้ธุรกิจ ทำให้เรามีรายได้จากการใช้ xml:namespace prefix = st1 ns = “urn:schemas-microsoft-com:office:smarttags” />3 Gอีกด้วย
14. เคล็ดลับที่จะทำให้เรามีรายได้ภายใน “เดือนที่5 สัปดาห์ที่2” ทำอย่างไร คำตอบ
- ต้องรู้จักตัวเองก่อนว่ากำลังจะทำอะไร…. “เรากำลังได้รับมอบหมายงาน ให้มาทำโครงการขยาย เครือข่ายผู้ใช้ระบบ 3.9G ซึ่งงานนี้ไม่มีใครได้ทำง่ายๆ ถ้าไม่รู้จัก รัก และนับถือกันจริงๆ – ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับระบบ 3G ให้รู้ได้มากที่สุด รู้ครอบคลุมในทุกๆด้าน ถึงแม้จะจำได้ไม่หมด แต่
ก็ขอให้รู้ว่าจะตอบคำถาม และหาความรู้ เกี่ยวกับ 3G ได้ที่ไหน – คัดเลือก “คน” ที่จะมาร่วมงานกับเรา – ทำตามแผนที่โครงการได้เซ็ทไว้ คือ โครงการ “มุ่งสู่เป้าหมาย 3 ล้านบาท ในเดือนที่5 สัปดาห์ที่2” โดย ใช้บัตรเชิญ หรือชวนคนที่สนิท คนที่ชอบทำธุรกิจ คนที่ชอบเปิดโอกาสให้กับตัวเอง
โดยแผนของโครงการเริ่มต้นจากคนเพียง 2 คน จับมือ มุ่งมั่น ร่วมกันทำงาน
คือไป “เปิดโอกาสให้คนไทย” ได้ “มีความรู้” และ “มีรายได้”จากการใช้โทรศัพท์
- ติดตาม กำกับดูแลองค์กรของตนเองอย่างใกล้ชิด คอยอำนวยความสะดวก และประสานงานในส่วนต่าง ๆ ให้กับทีมงาน